กล้องวงจรปิดราชการ
สเปคกล้องวงจรปิดราชการ มีลักษณะการทำงานไม่น้อยกว่า Layer 2 ของ OSI Model คือการที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจะสามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งได้จำเป็นต้องใช้ “ภาษา” เดียวกัน ภาษาที่ว่านี้ศัพท์ทางคอมพิวเตอร์เรียกว่า “โปรโตคอล”
คอมพิวเตอร์ที่สื่อสารกันได้ต้องใช้โปรโตคอลเดียวกัน ในเบื้องต้นนี้จะอธิบายถึงหลักการทำงานของโปรโตคอลประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
สินค้าแนะนำ : ระบบกล้องวงจรปิด
โปรโตคอล
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ให้เป็นเครือข่ายด้วยสายสัญญาณเป็นขั้นตอนที่ง่าย แต่ส่วนที่ท้าทาย คือ การพัฒนามาตรฐานให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่าย
ที่ผลิตต่างบริษัทกันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ซึ่งมาตรฐานนี้คือ โปรโตคอล หรือสรุปสั้น ๆ โปรโตคอล ก็คือ กฎ ขั้นตอน และรูปแบบของข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่อง
ที่เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย การเชื่อมต่อกันของคอมพิวเตอร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสร้างระบบเครือข่าย แต่การสื่อสารที่มีความหมาย เช่น การแชร์กันใช้ทรัพยากรของแต่ละฝ่ายทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สมบูรณ์
วิวัฒนาการของเครือข่ายถือได้ว่า เป็นการปฏิบัติครั้งใหญ่ของโครงสร้างของเทคโนโลยีสารสนเทศ โปรโตคอบของเครือข่ายหรืออาจเรียกว่า “สถาปัตยกรรมเครือข่าย”
วิวัฒนาการของเครือข่ายถือได้ว่า เป็นการปฏิบัติครั้งใหญ่ของโครงสร้างของเทคโนโลยีสารสนเทศ โปรโตคอบของเครือข่ายหรืออาจเรียกว่า “สถาปัตยกรรมเครือข่าย”
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ใจปัจจุบันเป็นระบบที่ซับซ้อนมาก ทำให้ยากต่อการออกแบบโดยคนคนเดียวหรือกลุ่มเดียว
เพื่อให้การพัฒนาระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและง่ายขึ้น จึงมีการแบ่งโปรโตคอลออกเป็นชั้น ๆ หรือเลเยอร์ ซึ่งการทำงานแต่ละเลเยอร์จะได้ไม่ซ้ำซ้อนกัน
แบบอ้างอิง OSI
เป็นองค์กรที่ออกแบบโปรโตคอลหรือโปรโตคอลการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบเปิด จุดมุ่งหมายของการพัฒนามาตรฐานนี้ เพื่อให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่ผลิตโดยบริษัทต่าง ๆ
แบบอ้างอิง OSI
เป็นองค์กรที่ออกแบบโปรโตคอลหรือโปรโตคอลการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบเปิด จุดมุ่งหมายของการพัฒนามาตรฐานนี้ เพื่อให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่ผลิตโดยบริษัทต่าง ๆ
สามารถทำงานร่วมกันได้ ชุดโปรโตคอลนี้ส่วนใหญ่จะเรียกว่า แบบอ้างอิง OSI เหตุที่เรียกแบบอ้างอิงก็เพราะโปรโตคอลชุดนี้ไม่ได้ถูก
ใช้งานอย่างแพร่หลายเหมือนโปรโตคอลชุดอื่น ๆ แต่แบบอ้างอิง OSI มีการออกแบบโครงสร้างที่ค่อนข้างสมบูรณ์มากที่สุด
จึงใช้โปรโตคอลชุดนี้เป็นแบบอ้างอิงในการพัฒนาโปรโตคอลชุดอื่น ๆ อีกทั้งยังเป็นระบบที่ง่ายต่อการอธิบายถึงกลไกการทำงานของโปรโตคอบในเครือข่าย
จึงใช้โปรโตคอลชุดนี้เป็นแบบอ้างอิงในการพัฒนาโปรโตคอลชุดอื่น ๆ อีกทั้งยังเป็นระบบที่ง่ายต่อการอธิบายถึงกลไกการทำงานของโปรโตคอบในเครือข่าย
ซึ่งเป็นที่มาของการเรียกโปรโตคอลชุดนี้ว่า แบบอ้างอิง OSI นั่นเอง จะแบ่งขั้นตอนการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ออกเป็น 7 ขั้นตอนหรือเลเยอร์
อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย : รั้วไฟฟ้ากันขโมย
การแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้จะยึดหลักเหมือนกับการสื่อสารทั่วไป การจัดเรียงโปรโตคอลเป็นชั้นๆ หรือเลเยอร์นี้ก็เพื่อจำลองการไหลของข้อมูลจากเครื่องส่งไปยังเครื่องรับ
แต่ละชั้นจะส่งข้อมูลต่อไปยังชั้นที่อยู่ติดกัน แต่ละชั้นตะมีจุดเชื่อมต่อกับชั้นที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อให้การติดต่อสื่อสารสำเร็จได้ การติดต่อสื่อสารของแต่ละชั้นจะเป็นแบบเพียร์ทูเพียร์
1. แอพพลิเคชันเลเยอร์ (Application Layer) เป็นโปรโตคอลชั้นที่อยู่บนสุดของแบบอ้างอิง OSI คือชั้นที่ 7 ถึงแม้ว่าชื่อจะเป็นแอพพลิเคชันเลเยอร์
1. แอพพลิเคชันเลเยอร์ (Application Layer) เป็นโปรโตคอลชั้นที่อยู่บนสุดของแบบอ้างอิง OSI คือชั้นที่ 7 ถึงแม้ว่าชื่อจะเป็นแอพพลิเคชันเลเยอร์
แต่ก็ไม่ได้รวมถึงแอพพลิเคชันของผู้ใช้ด้วย แต่จะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแอพพลิเคชันของผู้ใช้กับขบวนการสื่อสารผ่านเครือข่าย ชั้นนี้อาจจะถือได้ว่า เป็นชั้นที่เริ่มขบวนการติดต่อสื่อสาร
2. พรีเซนเตชันเลเยอร์ (Presentation Layer) เป็นเลเยอร์ที่ลองลงมา ในชั้นนี้จะรับผิดชอบเกี่ยวกับรูปแบบของข้อมูลที่รับส่งผ่านเครือข่าย
2. พรีเซนเตชันเลเยอร์ (Presentation Layer) เป็นเลเยอร์ที่ลองลงมา ในชั้นนี้จะรับผิดชอบเกี่ยวกับรูปแบบของข้อมูลที่รับส่งผ่านเครือข่าย
ก่อนการส่งข้อมูลโปรโตคอลในเลเยอร์นี้ก็จะแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน ส่วนทางด้านฝ่ายรับก็จะแปลงกลับไปเป็นรูปแบบที่คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเข้าใจ
นอกจากนี้เลเยอร์ยังรับผิดชอบในการทำให้ข้อที่เข้ารหัสเลขทศนิยมที่ต่างกันสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้
3. เซสชันเลเยอร์ (Sesion Layer) ทำหน้าที่ควบคุมการสื่อสารผ่านเครือข่ายที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างสองฝั่ง การสื่อสารที่กำลังป็นไปในช่วงขณะใดขณะหนึ่งจะเรียกว่า เซสชัน แอพพลิเคชัน
3. เซสชันเลเยอร์ (Sesion Layer) ทำหน้าที่ควบคุมการสื่อสารผ่านเครือข่ายที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างสองฝั่ง การสื่อสารที่กำลังป็นไปในช่วงขณะใดขณะหนึ่งจะเรียกว่า เซสชัน แอพพลิเคชัน
ทั้งสองฝั่งสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือรับส่งถึงกันและกันได้ในช่วงเวลาที่เซสชันยังอยู่ โดยเซสชันเล ยอร์จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการสร้างเซสชัน ควบคุมการแลกเปลี่ยนข้อมูล และยกเลิกเซสชันเมื่อการสื่อสารสิ้นสุด
เซสชันเลเยอร์สามารถกำหนดรูปแบบการสื่อสารว่าเป็นแบบทางเดียว หรือแบบสองทางและยังสามารถกำหนดได้ว่า
เซสชันเลเยอร์สามารถกำหนดรูปแบบการสื่อสารว่าเป็นแบบทางเดียว หรือแบบสองทางและยังสามารถกำหนดได้ว่า
การไหลของข้อมูลนั้นเป็นไปได้สองทางพร้อมกันหรือไหลได้ทางเดียวในขณะใดขณะหนึ่ง และอีกฟังก์ชันหนึ่งของเซสชันเลเยอร์ คือ การควบคุมจังหวะการรับส่งข้อมูล
และกำหนดจุดเริ่มต้นของขบวนการถ่ายโอนไฟล์ได้ โดยเมื่อเริ่มเปิดเครื่องใหม่ก็เริ่มขบวนการถ้ายโอนไฟล์ต่อจากเมื่อคราวก่อนหน้านี้ได้
4. ทรานสปอร์ตเลเยอร์ (Transport Layer) มีหน้าที่รับผิดชอบในการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างโพรเซส ของผู้รับและโพรเซสของผู้ส่ง โพรเซส หมายถึง โปรแกรมที่กำลังรันบนเครื่องคอมพิวเตอร์
4. ทรานสปอร์ตเลเยอร์ (Transport Layer) มีหน้าที่รับผิดชอบในการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างโพรเซส ของผู้รับและโพรเซสของผู้ส่ง โพรเซส หมายถึง โปรแกรมที่กำลังรันบนเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งในขณะใดขณะหนึ่งอาจจะมีหลายโพรเซสที่กำลังรันอยู่ ในชั้นนี้จะรับผิดชอบในการรับส่งข้อมูลให้ถึงโพรเซสที่ต้องการ และมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ การตรวจเช็คแพ็กเก็ตที่ละทิ้งโดยเราท์เตอร์
และส่งข้อมูลใหม่อีกครั้ง รวมถึงมีหน้าที่สำคัญคือการจัดเรียงแพ็กเก็ตข้อมูลที่อาจเดินทางถึงฝ่ายรับ
โดยไม่เป็นลำดับ เนื่องจากแพ็กเก็ตแต่ละแพ็กเก็ตอาจจะเดินทางคนละเส้นทางหรือบางแพ็กเก็ตอาจสูญหายระหว่างทางแล้วมีการส่งใหม่อีกครั้ง
โดยไม่เป็นลำดับ เนื่องจากแพ็กเก็ตแต่ละแพ็กเก็ตอาจจะเดินทางคนละเส้นทางหรือบางแพ็กเก็ตอาจสูญหายระหว่างทางแล้วมีการส่งใหม่อีกครั้ง
และทำการจัดเรียงแพ็กเก็ตเหล่านี้ให้เหมือนเดิมก่อนที่จะส่งต่อชุดข้อมูลไปให้ชั้นเซสชันต่อไป
5. เน็ตเวิร์คเลเยอร์ (Network Layer) จะรับผิดชอบในการจัดเส้นทางให้กับข้อมูลระหว่างสถานีส่งและสถานีรับ ถ้ามีเส้นทางเดียว
5. เน็ตเวิร์คเลเยอร์ (Network Layer) จะรับผิดชอบในการจัดเส้นทางให้กับข้อมูลระหว่างสถานีส่งและสถานีรับ ถ้ามีเส้นทางเดียว
แต่ถ้าเป็นเส้นทางที่ซับซ้อนการจัดเส้นทางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ชั้นนี้จะไม่มีกลไกใด ๆ ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดของข้อมูล ฟังก์ชันนี้จึงเป็นหน้าที่ของชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
และจะทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการเส้นทางให้กับข้อมูลระหว่างสถานีส่งและรับที่อยู่คนละเครือข่าย การที่จะทำเช่นนี้ได้ต้องมีระบบการจัดการที่อยู่ที่ไม่ขึ้นอยู่กับที่อยู่ที่ใช้ในชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
6. ดาต้าลิงค์เลเยอร์ (Data Link Layer) ชั้นนี้ก็จะมีหน้าที่เหมือนกับชั้นอื่น ๆ คือการรับส่งข้อมูล และจะรับผิดชอบในการรับส่งข้อมูล และมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วย
6. ดาต้าลิงค์เลเยอร์ (Data Link Layer) ชั้นนี้ก็จะมีหน้าที่เหมือนกับชั้นอื่น ๆ คือการรับส่งข้อมูล และจะรับผิดชอบในการรับส่งข้อมูล และมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วย
ทางด้านสถานีที่ส่งข้อมูลจะจัดข้อมูลให้เป็นเฟรมและสามารถส่งข้อมูลไปยังสถานีรับผ่านเครือข่ายท้องถิ่นอย่างถูกต้องและสำเร็จ การส่งข้อมูลสำเร็จในที่นี้หมายถึง
การที่เฟรมข้อมูลส่งถึงปลายทางที่สถานีส่งต้องการโดยที่เฟรมข้อมูลไม่มีข้อผิดพลาด ในเฟรมต้องมีข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดของือเฟรมข้อมูลนั้น ๆ
การที่เฟรมข้อมูลส่งถึงปลายทางที่สถานีส่งต้องการโดยที่เฟรมข้อมูลไม่มีข้อผิดพลาด ในเฟรมต้องมีข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดของือเฟรมข้อมูลนั้น ๆ
ด้วยการส่งข้อมูลสำเร็จนั้น ในระหว่างการรับส่งข้อมูลอาจมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น ข้อมูลส่งไปไม่ถึงปลายทาง หรือบางส่วนเฟรมเสียหายผิดพราดขึ้น ชั้นเชื่อมโยงข้อมูลจะรับผิดชอบในการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ เหล่านี้
7. ฟิสิคอลเลเยอร์ (Physical Layer) จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการส่งข้อมูลที่เป็นบิด ในระบบเลขฐานสอง ชั้นนี้จะรับข้อมูลจากเลยอร์ที่ 2 หรือ ดาต้าลิงค์
7. ฟิสิคอลเลเยอร์ (Physical Layer) จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการส่งข้อมูลที่เป็นบิด ในระบบเลขฐานสอง ชั้นนี้จะรับข้อมูลจากเลยอร์ที่ 2 หรือ ดาต้าลิงค์
ซึ่งข้อมูลชุดหนึ่งจะเรียกว่าเฟรม และส่งเฟรมของข้อมูลนี้ทีละบิดเรียงตามลำดับหรือซีเรียล เลเยอร์นี้จะเห็นข้อมูลเป็นเลขสองฐาน หรือเลข 1 กับ 0 เท่านั้น
ซึ่งจะไม่สนใจความหมายของข้อมูลเลยจะสนใจเฉพาะการที่จะแปลงข้อมูลให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าหรือแสง ขึ้นอยู่กับสื่อกลางที่ใช้และสามารถส่งไปบนสื่อกลางหรือสายสัญญาณได้เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น