กล้องวงจรปิด

รูปภาพของฉัน
บริการให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง รับประกันผลงานตลอดอายุการใช้งาน กล้องวงจรปิด รั้วไฟฟ้า สัญญาณกันขโมย สอบถามได้ที่ Line ID : @CctvBangkok.com

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ความสำคัญของเจตคติในการบริการงานกล้องวงจรปิด


ความสำคัญของเจตคติในการบริการงานกล้องวงจรปิด

ในชีวิตประจำวันเรามักจะได้ยินคำพูดที่กล่าวถึงบุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดในทำนองทีแสดงถึงความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบจากการรับรู้และความชื่นชอบของแต่ละบุคคลอยู่บ่อย   ความรู้สึกเหล่านี้บ่งบอกถึงเจตคติของบุคคลต่อสิ่งต่าง  รอบตัวและปฏิกิริยาที่พร้อมจะแสดงการกระทำในทางบวกหรือลบ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเจตคติของบุคคลนั้นที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในงานบริการก็เช่นเดียวกันจำเป็นต้องเข้าใจถึงเจตคติของบุคคลในการบริการทั้งในฐานะของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ จึงก่อให้เกิดความสำเร็จในธุรกิจบริการได้

บริการงานกล้องวงจรปิด
ความหมายของเจตคติในการบริการ
เจตคติ ในปัจจุบันนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการ   เพราะความหมายครอบคลุมความพร้อมที่จะแสดงออกเป็นการกระทำด้วย  ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว คำอื่นที่มักใช้สับสนกับเจตคติและมีความหมายแตกต่างกัน เช่น ค่านิยม           
 - ความเชื่อที่บุคคลและสังคมเห็นว่ามีคุณค่าที่จะยึดถือเป็นแนวปฏิบัติในการตัดสินความดีชอบผิดถูกของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบฉบับ        
 - ความเชื่อในหลักปฏิบัติที่เป็นบรรทัดฐานหรือสิ่งที่ถือเป็นแบบอย่างของการกระทำในสังคม-วัฒนธรรมหนึ่ง
ความคิดเห็น
-  การแสดงออกถึงความเชื่อบางอย่าง เจตคติบางอย่าง และค่านิยมบางอย่างของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งการกระทำอาจไม่สอดคล้องกับการแสดงออกทางความคิดเห็นต่อสิ่งนั้น
ความเชื่อ            
-  ความรู้ที่เกิดจากการรับรู้และเรียนรู้ของบุคคลในกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมที่บุคคลยึดถือในการประเมินสิ่งต่าง

เจตคติ  เป็นผลรวมของความคิดเห็นในการประเมินสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามความรู้สึกนึกคิดของบุคคลและส่งผลให้มีการตอบสนองไปในทางใดทางหนึ่ง เจตคติในการบริการ   ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลในการประเมินการบริการ อันส่งผลให้บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการบริการที่มีความโน้มเอียงไปในทางใดทางหนึ่งด้วยการแสดงออกในทางบวกหรือลบได้ ซึ่งในสถานการณ์การบริการบุคคลจะประเมินว่าการบริการนั้น เป็นอย่างไร และบุคคลจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการบริการนั้น ไปในลักษณะใด ทั้งนี้พฤติกรรมการแสดงออกที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อเจตคติของบุคคลที่มีต่อการบริการครั้งต่อ    ไปได้

ความสำคัญของเจตคติในการบริการ
ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าหรือบริการก็ตาม ต่างพยายามสร้างเจตคติที่ดีต่อสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคหรือลูกค้า เพื่อให้เป็นพลังกระตุ้นและผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการต่าง  และเป็นโอกาสให้ธุรกิจได้นำเสนอสินค้าและบริการที่จะก่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีกับผู้บริโภคได้ อันจะนำไปสู่การสร้างเจตคติที่ดีต่อสินค้าและบริการ

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญในการศึกษาเจตคติและการบริการ เพราะความเข้าใจในเรื่องนี้จะนำมาซึ่งการจัดการระบบการบริการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ   เจตคติเป็นตัวการสำคัญที่ชักจูงผู้บริโภคเข้าสู่ระบบการบริการ ทำให้สามารถเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภคต่อการบริการทั้งในด้านควมต้องการและลักษณะของบริการที่ลูกค้าชอบ นับว่าเจตคติมีความสำคัญต่อการบริการทั้งในแง่ของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ
ความสำคัญต่อผู้ให้บริการ การบริการและการปฏิบัติงานบริการจำเป็นต้องคำนึงถึงเจตคติที่เกี่ยวข้องกับการบริการคือ  เจตคติเป็นตัวบ่งบอกความต้องการของลูกค้าหรือผู้รับบริการ เจตคติใช้ในการแบ่งส่วนตลาดและเลือกส่วนตลาดที่เป็นกลุ่มตลาดเป้าหมาย เจตคติเป็นตัวแปรสำคัญในการประเมินคุณภาพของการบริการ
ความสำคัญต่อผู้รับบริการ ผู้บริโภคใช้เจตคติในการดำเนินชีวิตประจำวันให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีคุณภาพ คือ เจตคติเป็นตัวผลักดันความต้องการให้มีการแสดงออก เจตคติช่วยกำหนดการตัดสินใจซื้อบริการของบุคคล 

การสร้างเจตคติที่ดีต่อการบริการมีความสำคัญต่อการดำเนินงานบริการของผู้ให้บริการและการรับรู้ในคุณค่าของการบริการเพื่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้รับบริการ อันจะส่งผลให้การจัดการบริการสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ รวมทั้งก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้รับบริการที่จะกลับมาใช้บริการอีกต่อ   ไป
ลักษณะและองค์ประกอบของเจตคติในการบริการ
                การบริการต่อเจตคติของบุคคลมีส่วนสำคัญที่จะทำให้กิจการประสบความสำเร็จได้เจตคติที่ดีของลูกค้าต่อการบริการจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการซื้อบริการที่ผู้ขายบริการต้องการและเจตคติที่ดีของผู้ปฏิบัติงานบริการจะข่วยให้การดำเนินงานบริการไปอย่างมีคุณภาพ การทำความเข้าใจและองค์ประกอบของเจตคติในการบริการจึงเป็นเรื่องจำเป็น  เพื่อนำความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการวางแผนจัดการระบบการบริการที่จะก่อให้เกิดเจตคติที่ดีต่อการบริการของผู้ใช้บริการและผู้รับบริการและส่งผลให้การบริการดำเนินไปด้วยดี

ลักษณะของเจตคติในการบริการ
โดยทั่วไปเจตคติในการบริการจะมีลักษณะเช่นเดียวกันกับเจตคติทั่วไป   คือ   เป็นสิ่งที่พัฒนามาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของบุคคล    มีโครงสร้างพื้นฐานมาจากความเชื่อที่เชื่อมโยงกัน  มีทิศทางของการประเมินที่อ้างอิงตัวบุคคลและสิ่งของ   สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยอิทธิพลของปัจจัยแวดล้อมตัวบุคคล   ความพร้อมที่จะแสดงออกทางพฤติกรรม

องค์ประกอบของเจตคติในการบริการ
เจตคติเป็นองค์รวมความรู้สึกนึกคิดและความพร้อมในการแสดงออกทางการกระทำหรือพฤติกรรม    เจตคติประกอบด้วยองค์ประกอบ  ดังนี้   องค์ประกอบด้านความคิด     ด้านความรู้สึก   ด้านความโน้มเอียงของพฤติกรรม  อาจกล่าวได้ว่าเจตคติที่บุคคลมีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องประกอบด้วยทั้งสามองค์ประกอบข้างต้น   อาจมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไปได้      โดยทั่วไปบุคคลมักแสดงพฤติกรรมในทิศทางที่สอดคล้องกับเจตคติที่มีอยู่    เมื่อบุคคลรับรู้หรือพบเห็นสิ่งใด  ไม่ว่าจะเป็นบุคคล  แนวคิด  สิ่งของหรือสถานการณ์ใดก็ตาม   สิ่งที่รับรู้กระตุ้นให้บุคคลเกิดความโน้มเอียงที่จะแสดงพฤติกรรมตอบโต้ไปในทางสนับสนุน และ ส่งเสริมหรือคัดค้าน  และขัดขวางสิ่งนั้น   จนเกิดเป็นพฤติกรรมการแสดงออกหรือการกระทำต่อสิ่งนั้น   ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของเจตคติและพฤติกรรมของบุคคล

เจตคติของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริการ
การดำเนินชีวิตของบุคคลเจตคติเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก   เพราะช่วยให้บุคคลค้นพบความต้องการที่ตัวเองมีอยู่และกระตุ้นให้บุคคลแสดงปฏิกิริยาตอบโต้สิ่งนั้นในทิศทางที่ตนต้องการหรือไม่ต้องการตามความพอใจ     การบริการไม่ว่าจะเป็นผู้รับบริการหรือผู้ให้บริการย่อมมีเจตคติต่อการบริการที่ได้รับในการดำเนินชีวิตประจำวัน

เจตคติของผู้รับบริการ  แสดงถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้รับบริการหรือลูกค้าที่มีความโน้มเอียงที่จะประเมินทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการบริการไปในทางใดทางหนึ่ง   เพื่อให้ผู้รับบริการเกิดความรู้สึกที่ดีต่อการบริการที่ได้รับ   รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงเจตคติของผู้รับบริการ   เพื่อเป้าหมายทางการตลาดให้ผู้รับบริการเกิดเจตคติที่ดีต่อผลิตภัณฑ์บริการที่นำเสนอและมีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อบริการนั้น      ปัจจัยที่มีผลต่อเจตคติของผู้รับบริการ  จะมีเจตคติที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ    เช่น  การจูงใจทางกาย     ข้อมูลข่าวสาร    การเข้าร่วมกลุ่ม     ประสบการณ์  บุคลิกภาพ  และรวมทั้งประเภทของเจตคติของผู้รับบริการ  เช่น  เจตคติต่อผลิตภัณฑ์บริการ   สภาพแวดล้อมของการบริการ  และกระบวนการให้บริการ  รวมทั้งคุณลักษณะของเจตคติของผู้รับบริการ   สามารถแสดงเจตคติได้หลากหลายขึ้นอยู่กับเป้าหมายของเจตคติที่แปรเปลี่ยนไปตามระดับของความเฉพาะของแต่ละสถานการณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง   ในทางพฤติกรรมและเงื่อนไขของสถาการณ์โดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องควที่เสมอไป  ข้อมูลเหล่านี้จะเก็บไว้ในความทรงจำและก่อตัวเป็นความรู้สึกนึกคิดที่มีผลต่อการกระทำของบุคคลต่อ    มา
เจตคติของผู้ให้บริการ  ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาพฤติกรรมการบริการของผู้ให้บริการอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือคาดหวัง  การดำเนินงานบริการให้เป็นไปอย่างราบรื่นมีประสิทธิภาพย่อมขึ้นอยู่กับเจตคติของผู้ให้บริการเป็นประการสำคัญ
-       ปัจจัยที่มีผลต่อเจตคติของผู้ให้บริการ  มีปัจจัยที่สำคัญ    เช่น   คุณลักษณะส่วนบุคคล   ลักษณะงาน  สภาพการทำงาน  ผู้ร่วมงาน  ประสบการณ์การทำงาน
-       ประเภทของเจตคติของผู้ให้บริการ   มีผลต่อการปฏิบัติงานบริการให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพได้  มีองค์ประกอบการบริการที่มีผลต่อผู้ให้บริการ  เช่น  ลักษณะงานบริการ  เงื่อนไขผลตอบแทน   การบริหารการบริการ  การปฏิบัติงานบริการ  สภาพแวดล้อมของการบริการ
-       คุณลักษณะของเจตคติของผู้ให้บริการ         มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานบริการและบทบาทความรับผิดชอบของผู้ให้บริการ  มีความรู้สึกบวกต่ออาชีพบริการ  ตลอดจนมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติงานบริการให้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจและสนใจให้บริการ  องค์การบริการที่ประสบความสำเร็จมักคัดเลือกผู้ให้บริการที่เป็นมิตรต่อผู้รับบริการ  โดยมีลักษณะดังนี้    เชื่อมั่นในตนเอง   การปรับตัวเข้ากับผู้อื่น  ความเห็นใจผู้อื่น

สรุปได้ว่าเจตคติของผู้รับบริการและผู้ให้บริการมีคุณค่าต่อการกำหนดนโยบายการบริการ ทั้งในแง่ของการให้บริการแก่ผู้รับบริการและการวางแผนการบริหารงานแก่ผู้ให้บริการ โดยคำนึงถึงในการบริหารที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิดและความโน้มเอียงของการแสดงพฤติกรรมในทางบวกต่อการบริการยิ่ง    ขึ้นไป  
                                    


แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจในการบริการกล้องวงจรปิด


ความหมายและความสำคัญของความพึงพอใจในการบริการ
การให้ความสำคัญกับลูกค้าหรือผู้รับบริการและการค้นหาความต้องการเพื่อสนองการบริการที่ถูกใจ   นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของการบริการ   เป้าหมายสูงสุดของการบริการ  คือ  การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า   เพื่อให้ลูกค้าชอบใจและติดใจกลับมาใช้บริการอีกต่อ    ไป   ความพึงพอใจในการบริการจะทำให้ตระหนักถึงคุณค่าของการสร้างและรักษาความพึงพอใจของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบริการทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ   เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการบริการของธุรกิจนั้น 

ความหมายของความพึงพอใจในการบริการ
ความพึงพอใจในการบริการ  สามารถจำแนกออกเป็น  2  ความหมาย  คือ  ความถึงพอใจของผู้บริโภคหรือผู้รับบริการ  และ  ความพึงพอใจในงานของผู้ให้บริการ
-       ความหมายของความพึงพอใจของผู้รับบริการ      นักการตลาดจะพบความพึงพอใจของผู้รับบริการออกเป็น  2  ลักษณะ คือ  ความหมายที่ยึดสถานการณ์การซื้อเป็นหลัก  มักพบใช้ในงานวิจัยการตลาดที่เน้นแนวคิดทางพฤติกรรมศาสตร์   และ  ความหมายที่ยึดประสบการณ์เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าเป็นหลัก       คำจำกัดความ “ความพึงพอใจของผู้บริโภค”    ภาวะการแสดงออกถึงความรู้สึกในทางบวกที่เกิดจากการประเมินเปรียบเทียบประสบการณ์ได้รับบริการที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังหรือดีเกินกว่าความคาดหวังของลูกค้า   และในด้านตรงข้าม  “ความไม่พึงพอใจ”   หมายถึง  ภาวะการแสดงออกถึงความรู้สึกในทางลบที่เกิดจากการประเมินเปรียบเทียบประสบการณ์ได้รับการบริการที่ต่ำกว่าความคาดหวังของลูกค้า
-       ความหมายของความพึงพอใจในงานของผู้ให้บริการ     ความพึงพอใจในการทำงานจะมีผลต่อความสำเร็จของงาน  นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของ” ความพึงพอใจในงาน”   หมายถึง  ภาวะการแสดงออกถึงความรู้สึกในทางบวกที่เกิดจากการประเมินเปรียบเทียบประสบการณ์และผลติบแทนที่ได้รับจากงานในระดับที่ว่เป็นไปตามความคาดหวังที่บุคคลตั้งไว้  ในทางตรงข้าม “ความไม่พึงพอใจในงาน”   หมายถึง  ภาวะการแสดงออกถึงความรู้สึกในทางลบที่เกิดจากการประเมินเปรียบเทียบประสบการณ์และผลตอบแทนที่ได้รับจากงานในระดับที่ต่ำกว่าสิ่งที่คาดหวังไว้ว่าจะได้รับ
ความพึงพอใจในการบริการ   จึงได้ว่าหมายถึง     ภาวการณ์แสดงออกถึงความรู้สึกในทางบวกของบุคคลอันเป็นผลจากการเปรียบเทียบการรับรู้สิ่งที่ได้รับจากการบริการ   ไม่ว่าจะเป็นการรับบริการหรือการให้บริการในระดับที่ตรงกับการรับรู้สิ่งที่คาดหวังเกี่ยวกับการบริการนั้น   ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของผู้รับบริการและความพึงพอใจในงานของผู้ให้บริการ

ความสำคัญของความพึงพอใจในการบริการ
ความสำเร็จในการดำเนินงานบริการขึ้นอยู่กับกลยุทธ์       การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า  เพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกที่ดีปละประทับใจในบริการที่ได้รับจนติดใจและกลับมาใช้บริการเป็นประจำจึงเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะความรู้ความเข้าใจในบริการอย่างไม่หยุดยั้ง  และส่งผลให้สังคมส่วนรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ความพึงพอใจมีความสำคัญต่อผู้ให้บริการและผู้รับบริการ  ดังนี้
-       ความสำคัญต่อผู้ให้บริการ          ต้องคำนึงถึงความพึงพอใจต่อการบริการ  ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของการบริการ  สำรวจความพึงพอใจของลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บริการและลักษณะที่ลูกค้าชื่นชอบ   ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นตัวแปรสำคัญในการประเมินคุณภาพของการบริการ  ความน่าเชื่อถือไว้วางใจของการบริการ  ตลอดจนความรู้ความสามารถในการให้บริการด้วยความเชื่อมั่นและความเข้าใจต่อผู้อื่น  รวมถึงความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานบริการเป็นตัวชี้คุณภาพและความสำเร็จของงานบริการ  ผู้ปฏิบัติงานบริการย่อมทำให้พนักงานมีความรู้สึกที่ดีต่องานที่ได้รับมอบหมายและตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถและนำมาซึ่งคุณภาพของการบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและส่งผลให้กิจการบริการประสบความสำเร็จในที่สุด
-       ความสำคัญต่อผู้รับบริการ  สามารถแบ่งออกเป็น  2  ประเด็น  คือ   ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นตัวผลักดันคุณภาพชีวิตที่ดี   ค้นหาปัจจัยที่กำหนดความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อเสนอบริการที่เหมาะสมและเพื่อการแข่งขันส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจการบริการที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการที่คาดหวังย่อมนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีตามไปด้วย  และความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานบริการช่วยพัฒนาคุณภาพของงานบริการและอาชีพบริการเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของคนเราเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ในการดำรงชีวิตและการแสดงออกถึงความสามารถในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี   เมื่อองค์กรให้ความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจในงานให้กับผู้ปฏิบัติงานบริการพนักงานก็ย่อมทุ่มเทในการเพิ่มคุณภาพมาตรฐานงานบริการให้ก้าวหน้ายิ่ง    ขึ้นไป   ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าให้ใช้บริการต่อ    ไป  ทำให้อาชีพบริการเป็นที่รู้จักมากขึ้น
สรุปได้ว่า ความพึงพอใจในการบริการเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการบริการและความพึงพอใจในงาน                                    
ของผู้ปฏิบติงานบริการ   นับว่าความพึงพอใจสองลักษณะมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของการบริการและการดำเนินงานบริการให้ประสบความสำเร็จ  เพื่อสร้างและรักษาความรู้สึกที่ดีต่อบุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ
                     
การบริการ
ลักษณะและองค์ประกอบของความพึงพอใจในการบริการ
ในปัจจุบันการตัดสินใจซื้อสินค้าและการบริการของผู้บริโภคเป็นไปอย่างสลับซับซ้อนมากขึ้น  ความต้องการที่หลากหลายมาจากการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้นการนำเสนอสินค้าและบริการมีให้เลือกมากมายและผู้ซื้อนำมาเปรียบเทียบ  ผู้บริโภคยุคนี้เป็นนักซื้อมากกว่านักออมแต่ก็เป็นนักซื้อที่ฉลาดในการแสวงหาข้อมูลความรู้ในการตัดสินใจซื้อเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเอง  ให้ได้รับความพึงพอใจต่อสินค้าหรือบริการต่าง       ดังนั้นการบริการจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นและพยายามที่จะทำให้ผู้รับบริการมีความพึงพอใจต่อบริการที่ได้รับให้มากที่สุด  การทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะและองค์ประกอบของป็

ลักษณะของความพึงพอใจในการบริการ   มีความสำคัญต่อการดำเนินงานบริการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ   มีลักษณะทั่วไป  ดังนี้
-       ความพึงพอใจเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกในทางบวกของบุคคลต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
-       ความพึงพอใจเกิดจากการประเมินความแตกต่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่ได้รับจริงในสถานการณ์หนึ่ง
-       ความพึงพอใจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามปัจจัยแวดล้อมและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
องค์ประกอบของความพึงพอใจในการบริการ  กระบวนการบริการระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ  เป็นผลของการรับรู้และประเมินคุณภาพของการบริการในสิ่งที่ผู้รับบริการคาดหวังว่าควรจะได้รับและสิ่งที่ผู้รับบริการได้รับจริงจากการบริการในแต่ละสถานการณ์การบริการ    ความพึงพอใจประกอบด้วย  2  ประการ คือ
-       องค์ประกอบด้านการรับรู้คุณภาพของผลิตภัณฑ์บริการ
-       องค์ประกอบด้านการรับรู้คุณภาพของการนำเสนอบริการ

ความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริการ


กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในงานบริการ  คือ   การที่ลูกค้าได้รับในสิ่งที่คาดหวังไว้   ในการที่ลูกค้าจะได้รับในสิ่งที่คาดหวังได้ย่อมเกี่ยวพันกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้ให้บริการ   คุณภาพการปฏิบัติงานของผู้ให้บริการจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ให้บริการต่อการบริการด้วย    เพราะเมื่อผู้ปฏิบัติงานบริการมีความรู้สึกดีต่องานที่รับผิดชอบก็ย่อมจะปฏิบัติงานการให้บริการแก่ลูกค้าด้วยความเต็มใจอย่างเต็มความสามารถ

ความพึงพอใจของผู้รับบริการ
การแสดงออกถึงความรู้สึกในทางบวกของผู้รับบริการต่อการบริการอันเป็นผลมาจากการประเมินเปรียบเทียบสิ่งที่ผู้รับบริการได้รับและคาดหวังว่าจะได้รับจากการบริการในแต่ละสถานการณ์ของการบริการที่เกิดขึ้น   ความรู้สึกนี้สามารถแปรเปลี่ยนได้หลายระดับตามปัจจัยแวดล้อมและเงื่อนไขของการบริการในแต่ละครั้งได้
ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการ   มีปัจจัยสำคัญ     คือ  ผลิตภัณฑ์บริการ   ราคาค่าบริการ  สถานที่บริการ  การส่งเสริมแนะนำบริการ  ผู้ให้บริการ  สภาพแวดล้อมของการบริการ   กระบวนการบริการระดับของความพึงพอใจของผู้บริการ   สามารถแบ่งออกเป็น  2  ระดับ  คือ   ความพึงพอใจที่ตรงกับความคาดหวัง    ความพึงพอใจที่เกิดความคาดหวัง
สำหรับความไม่พึงพอใจเป็นการแสดงความรู้สึกขุ่นข้องใจ   อารมณ์ไม่ดีเนื่องจากไม่ได้รับบริการตรงกับความคาดหวัง    เช่น    ลูกค้าต้องนั่งรอคอยเป็นเวลานานเมื่อสั่งอาหาร   เป็นต้น

ความพึงพอใจของผู้ให้บริการ    
การแสดงออกถึงความรู้สึกในทางบวกของผู้ให้บริการต่อการบริการอันเป็นผลจากการประเมินเปรียบเทียบสิ่งที่ผู้ให้บริการได้รับในการบริการกับสิ่งที่ผู้ให้บริการคาดหวังว่าจะได้รับจากการบริการในการดำเนินงานบริการ   ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวแปรเปลี่ยนได้หลายระดับขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและนโยบายของงานบริการแต่ละประเภท
ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้ให้บริการ   มีปัจจัยสำคัญ      คือ    ลักษณะงาน   การนิเทศงาน   เพื่อนร่วมงาน   ค่าจ้างงาน  โอกาสก้าวหน้าในงาน
ประเภทของความพึงพอใจของผู้ให้บริการ  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ   ความพึงพอใจในลักษณงาน   และความพึงพอใจในองค์ประกอบของการงาน   เช่น  ความพึงพอใจต่อความมั่นคงในอาชีพบริการ  เป็นต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของผู้รับบริการและผู้ให้บริการ
การตระหนักถึงความพึงพอใจของผู้ให้บริการโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานบริการควบคู่ไปกับความพึงพอใจของผู้รับบริการ   คือ  เป็นกลยุทธ์สำคัญของการบริหารการบริการและการตลาดสมัยใหม่หรือที่เรียกว่า  “การบริหารการบริการเชิงกลยุทธ์”     เน้นความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างความพึงพอใจภายในองค์กากรและความพึงพอใจภายนอกองค์การให้มีความเชื่อมโยงกัน  โดยความพึงพอใจของลูกค้าเป็นผลมาจากความพึงพอใจของผู้ให้บริการ    ในทางตรงกันข้ามหากกิจการใดไม่คำนึงถึงคุณภาพของการบริการโดยให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานบริการ   ย่อมขาดพนักงานที่มีความรู้ความสามารถในการบริการ   ส่งผลให้การบริการประสบกับความล้มเหลวได้  เพราะลูกค้าไม่พึงพอใจในบริการที่ได้รับ  หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย     กิจการย่อมขาดทุนและอาจต้องปิดกิจการได้

สรุปได้ว่า ความพึงพอใจของผู้รับบริการและผู้ให้บริการต่างมีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานบริการ   ผู้บริหารการบริการจำเป็นที่จะต้องสร้างและรักษาความพึงพอใจของผู้รับบริการและผู้ให้บริการที่มีต่อการบริการอย่างเท่าเทียมกัน   ความพึงพอใจในการบริการจึงจะบังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

การเสริมสร้างเจตคติและความพึงพอใจในการบริการ


การเสริมสร้างเจตคติในการบริการ
เจตคติของผู้รับและผู้ให้บริการมีอิทธิพลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของกิจการบริการ   การที่ผุ้รับบริการมีเจตคติที่ดีต่อการบริการ  การแสดงออกจะเป็นไปในทางสนับสนุนการบริการ  เมื่อผู้รับบริการและผู้ให้บริการต่างมีเจตคติที่ดีต่อการบริการ  โดยผู้รับบริการรู้สึกชอบก็จะมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้บริการบ่อย    เหล่านี้เป็นตัวชี้ให้เห็นถึงคุณภาพของการบริการที่องค์การบริการจะต้องตระหนักถึงความสำคัญและเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อการบริการ

แบบจำลองเจตคติในการบริหาร
ในการบริการที่นิยมใช้เจตคติอย่างแพร่หลายในการอธิบายพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อสินค้าและบริการ  คือ   แบบจำลองเจตคติของฟิชไบน์   แบ่งออกเป็น   3    แบบ   คือ     แบบจำลองเจตคติของบุคคลต่อวัตถุ     แบบจำลองเจตคติของบุคคลต่อลักษณะพฤติกรรม   และ  แบบจำลองเจตคติของบุคคลตามทฤษฏีการกระทำด้วยเหตุผล

แนวทางการเสริมสร้างเจตคติในการบริการ
เจตคติมีลักษณะที่มั่นคงและเปลี่ยนแปลงได้ยากแต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร    การสร้างเจตคติที่ดีในการบริการย่อมก่อให้เกิดผลสำเร็จต่อการดำเนินงานบริการ  คือ
-        การเปลี่ยนแปลงบทบาทเดิมของเจตคติ     มีบทบาทต่อพฤติกรรมของบุคคลในการปรับตัว   การปกป้องตนเอง   การแสดงค่านิยม  และการสร้างความรู้
-       การรเชื่อมโยงการบริการกับกลุ่มบุคคลหรือเหตุการณ์อ้างอิง 
-       การปรับเจตคติที่ขัดแย้งให้มาสัมพันธ์กัน
-       การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของแบบจำลองคุณลักษณะของสินค้าและการบริการ  เช่น  การประเมินคุณลักษณะของการบริการ  และความเชื่อเกี่ยวกับการบริการ
 การสร้างเจตคติในการบริการเป็นเรื่องสำคัญ   ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้รับบริการตลอดจนผู้ให้บริการในการปฏิบัติงานบริการด้วยความรู้สึกที่ดีต่อผู้บริการ   ซึ่งจะทำให้ผู้รับบริการรู้สึกพึงพอใจและมีเจตคติที่ดีต่อการบริการ   อันส่งผลให้มีความโน้มเอียงที่จะใช้บริการนั้นต่อไปเรื่อย     ทำให้กิจการบริการมีรายได้และดำรงอยู่ได้ในธุรกิจบริการที่แข่งขันกันอย่างมากทุกวันนี้




การเสริมสร้างความพึงพอใจในการบริการกล้องวงจรปิด


ในการดำเนินกิจการบริการที่จะประสบความสำเร็จระยะยาวจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสนใจการสร้างและรักษาความพึงพอใจการบริการ   ไม่ว่าจะเป็นความพึงพอใจของลูกค้าหรือความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานบริการ   เพราะความพึงพอใจทั้งสองส่วนนนี้ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อความสำเร็จขแงการดำเนินงานบริการ   ผู้บริหารการบริการจึงต้องตระหนักเถึงการกำหนดกลยุทธ์การสร้างความพึงพอใจในการบริการเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

แบบจำลองความพึงพอใจในการบริการ
ความพึงพอใจในกระบวนการบริการไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียวแต่เกิดจากหลายปัจจัยและขั้นตอนการบริการที่มีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าและข้อจำกัด   ระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการ   “แบบจำลองความพึงพอใจในการบริการ”   ในกระบวนการบริการและข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อความพึงพอใจและคุณภาพของการบริการ
ความคาดหวังของลูกค้าเกิดจากองค์ประกอบ   3   ประการ  คือ  คำพูดปากต่อปาก   ความต้องการส่วนบุคคล  และประสบการณ์ที่ผ่านมาในการใช้สินค้าและบริการต่าง     การที่จะทำให้ผู้รับบริการพึงพอใจต่อการบริการจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ให้บริการจะต้องมีความสามารถในการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความคาดหวังของผู้รับบริการ   ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะในการะบวนการให้บริการจะต้องมีช่องว่างหรือจุดบกพร่องของการดำเนินงานหลายประการที่จะต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไข   เพื่อให้เกิดคุณภาพของการบริการในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในที่สุด
ช่องว่างในการบริการที่เป็นจุดบกพร่องของการดำเนินงานบริการและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานบริการให้มีคุณภาพ  คือ 
-       ช่องว่างที่   1      เกิดขึ้นระหว่างความเข้าใจของผู้บริหารการบริการต่อความคาดหวังของลูกค้าที่ไม่ตรงกัน
-       ช่องว่างที่   2      เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทอดการรับรู้ความเข้าใจของผู้บริหารการบริการออกมาเป็นนโยบายการให้บริการ   ซึ่งอาจเบี่ยงเบนเนื่องจากการใช้ข้อความไม่ชัดเจน  ตีความได้หลายอย่าง
-       ช่องว่างที่   3     เกิดขึ้นระหว่างการส่งมอบสินค้าหรือการให้บริการไม่สอดคล้องกับนโยบายการให้บริการ  ตามขั้นตอนหรือวิธีการที่วางไว้   ทำให้เกิดความบกพร่องในการควบคุมคุณภาพในการนำเสนอบริการให้
-       ช่องว่างที่   4      เกิดขึ้นระหว่างการส่งมอบสินค้าหรือการให้บริการไม่เป็นไปตามพันธะสัญญาหรือข้อมูลข่าวสารที่องค์การบริการเสนอต่อลูกค้า   ทำให้สินค้าหรือบริการมีระดับคุณภาพแตกต่างไปจากข้อมูลข่าวสารที่ผู้รับบริการรับรู้มาและก่อให้เกิดความคาดหวัง
-       ช่องว่างที่   5      เกิดขึ้นระหว่างการส่งมอบสินค้าหรือการให้บริการที่มีลักษณะแตกต่างไปจากความคาดหวังการบริการของผู้รับบริการ   ซึ่งมีผลต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการให้ลดน้อยลงไปได้

ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงช่องว่างเหล่านี้   โดยให้ความสนใจกับความพยายามที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ   ต่อบริการที่ได้รับให้มากที่สุด    หากไม่มีความแตกต่างระหว่างบริการที่ได้รับกับบริการที่คาดหวัง    ซึ่งความไม่พอใจจะกลายเป็นความขุ่นข้องใจและความโกรธได้ในที่สุดภาพขององค์การบริการที่เป็นลบก็จะติดอยู่ในความทรงจำของลูกค้าไปอีกนาน   ในทางตรงข้ามหากผู้ให้บริการสามารถนำเสนอบริการได้ดีเกิดกว่าที่สัญญาไว้จนเหนือความคาดหวังของลูกค้า   ความพึงพอใจก็จะทวีสูงขึ้นเป็นความปลาบปลื้มใจและความประทับใจจนติดตรึงใจลูกค้าไปนานเช่นเดียวกัน

แนวทางการเสริมสร้างความพึงพอใจในการบริการความสำคัญต่อความสำเร็จของการดำเนินงานบริการ   คือ  การสร้างความพึงพอใจในการบริการจำเป็นที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปทั้งต่อผู้รับบริการและผู้ให้บริการ  ดังนี้
-       การตรวจสอบความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้รับบริการและผู้ให้บริการอย่างสม่ำเสมอ
-       การกำหนดเป้าหมายและทิศทางขององค์การให้ชัดเจน
-       การกำหนดกลยุทธ์การบริการที่มีประสิทธิภาพ
-       การพัฒนาคุณภาพและความสัมพันธ์ในกลุ่มพนักงาน
-       การนำกลยุทธ์การสร้างความพึงพอใจต่อผู้รับบริการไปปฏิบัติและประเมินผล

สรุปได้ว่า การเสริมสร้างความพึงพอใจในการบริการจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงความสำคัญของการสร้างความพึงพอใจของผู้รับบริการควบคู่ไปกับความพึงพอใจของผู้รับบริการ   โดยการสำรวจและตรวจสอบความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้รับบริการและผู้ให้บริการในกระบวนการบริการและการจัดการงานบริการ   เพื่อการกำหนดเป้าหมาย  ทิศทาง  และกลยุทธ์การบริการที่มีประสิทธิภาพ  ซึ่งจะทำให้ปัญหาข้อบกพร่องของการให้บริการที่เกิดขึ้นในระบบบริหารลดน้อยลง  และนำไปสู่ความสำเร็จขององค์การบริการในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้รับบริการ

สภาพการณ์ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารการบริการ


ในชีวิตประจำวันเราจะเห็นได้ว่ามีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อยู่มากมายตามห้างสรรพสินค้าหรือย่านธุรกิจต่าง    ซึ่งคุณภาพอาจจะไม่แตกต่างกันมากนัก    ทำให้ผู้รับบริการมีโอกาสที่จะเลือกซื้อได้มาก   การให้บริการ   หมายถึง  การกระทำ  การปฏิบัติ  ความพยายามอันเป็นนามธรรมสร้างความเป็นประโยชน์ความพึงพอใจ   ตรงหรือใกล้เคียงกับความคาดหวังของผู้รับบริการอย่างทั่วถึง   ทุกแง่มุมของการให้บริการทั่งระยะเวลาก่อน – ระหว่าง –  และหลังการซื้อขาย   ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวให้ได้จึงเป็นกลยุทธ์ซึ่งความได้เปรียบของการดำเนินธุรกิจ  นอกเหนือจากการมีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีอยู่แล้ว  วิธีการที่จะนำเสนอบริการมีความสำคัญไม่น้อย   ปัจจัยชี้ความแตกต่างคือ  คุณภาพของการให้บริการที่สร้างความประทับใจแก่ผู้รับบริการ   เช่น  การเช่ารถ  การบริการซักรีด  การเช่าโรงแรม  การจองตั๋วเดินทางไปต่างประเทศของสายการบินต่าง    เป็นต้น    ความเข้าใจแง่มุมต่าง     ของจิตวิทยาการบริการ  จะเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ผู้บริหารสามารถนำมากำหนดสร้างกลยุทธ์การให้บริการที่ดีได้   นั่นหมายความว่าต้องมีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารการบริการเป็นอย่างดี

ความหมายและความสำคัญของการบริหารการบริการ

ความหมายของการบริหารการบริการ
กระบวนการเพื่อการสร้างและรักษาความพึงพอใจ   ความคาดหวังของผู้รับบริการไว้   ขณะเดียวกันก็มีการเสริมสร้างความพึงพอใจและความจงรักภักดีผูกพันกับองค์กรของพนักงานไว้ด้วย       การบริหารการบริการจะให้ความสำคัญกับผู้ที่จะก่อให้เกิดกำไร  การเกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่องค์กร  ขณะเดียวกันการบริการที่ดีจะไม่เกิดหากพนักงานขององค์กรไม่มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานที่ดี    กระบวนการของการบริหารบริการต้องให้หลักประกันถถึงแนวทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  เป็นการประสานงานความต้องการของผู้รับบริการ และของพนักงาน  กระบวนการบริหารที่มุ่งเน้นแต่การได้กำไรสูงสุดเป็นสำคัญนั้นจะไม่สามารถทำให้องค์กรอยู่รอดได้ในภาวะการแข่งขันอย่างสูงของการให้บริการ

การบริหารการบริการควรเป็นการปรับเปลี่ยนความเข้าใจจากการมุ่งเพื่อสร้างกำไรสูงสุดมาพิจารณา   4   ประการ  ดังนี้
1.     พิจารณาดู้รับบริการ     เกิดความรู้สึกหรือรับรู้ความหมายใดจากการมาใช้บริการ  ไม่ว่าจะเกิดจากการได้อุปโภคบริโภคสินค้าและบริการ  ผู้รับบริการเกิดความรู้สึกอย่างไรต่อคุณภาพโดยรวม
2.     เข้าใจว่าส่วนต่าง     ขององค์การ  เช่น  ฝ่ายทรัพยากรเพื่อการผลิต  ฝ่ายบุคคล  ฝ่ายการตลาด  จะสามารถผลิตและสร้างประโยชน์  บริการที่มีคุณภาพได้อย่างไร
3.     เล็งเห็นว่าองค์การควรจะได้รับการพัฒนาและบริหารเช่นไร    เพื่อให้บรรลุถึงคุณภาพ  หรือประโยชน์ที่ตั้งไว้
4.     ทำให้องค์การปฏิบัติหน้าที่ต่าง    ได้สนองนโยบายหรือเป้าหมายของกลุ่มต่าง    ที่เกี่ยวข้อง  เช่น  ขององค์การ  ของผู้รับบริการ  ผู้ร่วมลงทุน  สังคม  ฯลฯ
            
การบริหารงานของธุรกิจนั้นต้องมุ่งคำนึงถึง  ความพึงพอใจของลูกค้าและมีการเสริมสร้างบรรยากาศของการปฏิบัติงานที่ดีในหมู่ผู้ให้บริการด้วย    โดยมีความเชื่อว่า  การที่ผู้รับบริการรับรู้ประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ดีจากการให้บริการนั้นมีความสำคัญมากกว่าองค์การหรือบริษัทหรือบริการอะไรหรือด้วยวิธีใด   การบริหารการบริการประกอบด้วย   6   ขั้นตอน  ดังนี้
1.     ต้องมีการระบุองค์ประกอบของขั้นตอนการบริการต่าง    เวลาที่เตรียม  เวลาที่ให้บริการและข้อจำกัด
2.     ตรวจสอบวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า  สิ่งที่ลูกค้าประทับใจกับการให้บริการ
3.     ออกแบบชุดของการบริการ   มาตรฐานการสร้างความประทับใจ  ความคุ้มทุน
4.     ประชาสัมพันธ์การขาย   ทีมงานขายการบริการ
5.     ทดสอบตลาด  ทดลองปฏิบัติแผนการตลาด
6.     ควบคุมการปฏิบัติงาน  วัดประเมินผลการให้บริการ  ผลที่ปฏิบัติเมื่อเทียบกับมาตรฐานการบริการที่กำหนดไว้แต่แรก

ความสำคัญของการบริหารการบริการ
เราสามารถสรุปความสำคัญของการบริหารการบริการได้  2  นัย  คือ  ในฐานะที่องค์การ  ผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุน  เป็นผู้ว่าจ้างที่ให้ข้อเลือกแก่พนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบริการ  เช่น  ค่าตอบแทน  สิ่งจูงใจ  โอกาสก้าวหน้า  การสร้างขวัญและกำลังใจแก่พนักงานในองค์การ   และสองเป็นผู้จัดหาข้อเลือก  คือ  สินค้าและบริการต่าง    ที่ตรงกับความคาดหวังหรือที่ผู้รับบริการมีค่านิยมให้ความสำคัญ  เช่น  ความรวดเร็ว  ความสะดวก  ราคาถูก  คุณภาพดี  เป็นต้น


จุดมุ่งหมายของการบริหารการบริการ
การให้บริการหากถามว่าองค์การให้บริการเพื่อเป้าหมายใด  คำตอบนั้นจะแตกต่างกันไปตามบทบาทและสถานภาพของผู้ตอบ  ถ้าเป็นผู้บริหารก็เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด  เพื่อส่งยริการที่เป็นที่พึงพอใจตรงตามความต้องการของ้ผู้รับบริการ  ถ้าถามคำถามนี้กับพนักงานผู้ให้บริการก็ได้รับคำตอบว่าให้บริการเพื่อค่าตอบเทนผลประโยชน์เกื้อกูล  ด้วยความพึงพอใจหรือใจรัก  หากถามผู้รับบริการแล้วคงได้คำตอบ  เพื่อสนองความต้องการของผู้รับบริการ   เป็นต้น   ในเชิงของผู้บริหารผู้ประกอบการการบริการ  อาจกล่าวได้ว่า  การบริหารการบริการทำไปเพื่อ  3  ประการตามความสำคัญ  ดังนี้
1.     การสร้างความพึงพอใจแก่ผู้รับบริการ    ผู้ที่ใช้บริการโดยตรงและโดยอ้อม   ทั้งที่เห็นหน้าและไม่เห็นหน้า   การบริหารบริการแบบเดิมจะเน้นเสมอว่า  กำไรคือเป้าหมายหลักของการให้บริการ  เน้นความมั่งคั่งของทรัพย์สมบัติพนักงานต้องปฏิบัติหรือเอาใจตามคำชี้แนะความต้องการของผู้ประกอบการ  หรือผู้บริหารบริการ  และทำตามที่สั่ง  แต่ในปัจจุบัน  ผู้บริหารบริการและพนักงานผู้ให้บริการต้องร่วมกันให้บริการที่มุ่งสนองความต้องการ  ความคาดหวังของผู้รับบริการให้ได้ดีอย่างต่อเนื่อง  มุ่งสร้างและรักษาสัมพันธภาพในระยะเวลายาวนานให้ได้  คุณภาพบริการขึ้นกับช่วงจุดหนึ่ง    ของเวลาที่เกี่ยวโยงกับการรับรู้  การมีประสบการณ์ที่ผู้รับบริการได้รับ และผลจะเกิดสืบเนื่อง
2.     การสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน    ถือว่าพนักงานขององค์การเป็นผู้รับบริการภายใน   ที่จะรู้เห็นเข้าใจกระบวนการบริการดีกว่าผู้รับบริการที่เป็นลูกค้าคนนอก    พนักงานผู้ให้บริการจะทำหน้าที่  2  อย่างควบคู่กันไป  คือ ขณะที่ทำหน้าที่การติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้รับบริการโดยตรง  เป็นผู้รับทราบความต้องการของผู้รับบริการเป็นผู้สร้างความประทับใจ  และพอทราบถึงผลของการให้บริการขององค์การแจ้งอธิบายให้แก่ผู้รับบริการได้ทราบและให้ข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจของผู้รับบริการให้แก่ผู้บริหารการบริการขององค์การได้รับทราบ   จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้บริหารบริการที่พึงสร้างบรรยากาศที่ดีของการให้บริการแก่พนักงานทั้งหน้าร้านและหลังร้านให้มีความภูมิใจ  ย่อมจะทำให้ลูกค้าได้รับบริการอย่างมีคุณภาพเป็นผู้รับบริการที่มีคุณค่าในสายตาของพนักงานผู้ให้บริการขององค์การด้วยเช่นกัน
3.     การมุ่งก่อให้เกิดกำไรสูงสุดในระยะยาว     การประกอบการธุรกิจเป้าหมายขององค์การ  แนวคิดดั้งเดิมของการบริการในเชิงธุรกิจคือ  การเน้นคุณภาพของสินค้าและบริการมากเท่าใดจะทำให้กำไรลดลง  กำไรกับคุณภาพเป็นสิ่งที่ผกผันต่อกันและแยกจากกัน  แนวคิดนี้สมควรปรับเปลี่ยนเป็นการสร้างกำไรสูงสุดโดยการสร้างบริการที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงทุกกระบวนการ  มุ่งสร้างความพึงพอใจแก่ผู้รับบริการโดยยึดหลักความยุติธรรม  ความเหมาะสม  การคืนกำไรให้แก่สังคม  การก่อให้เกิดกำไรจะบังเกิดขึ้นได้  ผู้บริหารบริการพึงคำนึงถึง  การมีกำไรอาจเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความมีประสิทธิภาพของการบริหารบริการว่าได้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

หลักสำคัญของการบริหารงานบริการ 
 การบริหารงานการบริการมีหลักสำคัญที่พิจารณาแยกเป็น   7  ประการ  ดังนี้
1.     ความพึงพอใจของผู้รับบริการและของพนักงานเป็นที่มาของความมีประสิทธิภาพขององค์การบริการ
2.     การกระจายอำนาจและการให้อำนาจการตัดสินใจปฏิบัติการแก่พนักงาน  “หน้าร้าน”
3.     การปรับโครงสร้างขององค์การ
4.     ระบบการให้รางวัลที่เน้นกลุ่มและผลงานที่ปรารถนา
5.     ความสามารถในการจัดการระบบข้อมูลที่ดีและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย
6.     บรรยากาศและวัฒนธรรมขององค์การมีผลกระทบต่อคุณภาพของการให้บริการและความประทับใจจากการให้บริการ
7.     การตรวจสอบและประเมินผลการให้บริการมีความสำคัญต่อการบริหารบริการ

ระบบการบริหารงานบริการ


การจัดการระบบการบริหารงานบริการ
การจัดระบบบริการมีเกณฑ์ที่ควรคำนึงถึงคือ  หลักการประหยัด   ลดการซ้ำซ้อนในการปฏิบัติหน้าที่ลงมีการแบ่งงานของเขตความรับผิดชอบให้ชัดเจนมากที่สุด  ระบุอำนาจการตัดสินใจในแต่ละกระบวนการอย่างเท่าเทียมกัน   นอกจากนึ้ควรมีการแจ้งข่าวสารความเคลื่อนไหวใด     ให้แก่สมาชิกได้ทราบกันอย่างทั่วถึงก็จะมีส่วนให้การบริหารงานบริการปฏิบัติการดูแลที่ดีจากฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายบริหารเพื่อให้สามารถ ที่จะบริการให้ดีมีคุณภาพแก่ผู้อุปโภคบริโภค      เราสามารถออกแบบรูปแบบและแนวทางที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้รับบริการได้จากข้อมูลที่ได้รับจากพนักงานหน้าร้านหรือฝ่ายขายขององค์การ  รูปแบบของการบริการจะช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพแต่ละขั้นตอนของกระบวนการให้บริการวิเคราะห์จุดที่อาจก่อให้เกิดความล้มเหลว   ของการให้บริการว่าผิดไปจากที่ตั้งใจหรือที่วางแผนไว้และส่งผลกระทบต่อคุณภาพการบริการ   ก่อให้เกิดปัญญา  การวิเคราะห์ถึงจุดล้มเหลวไว้ก่อนจะช่วยให้การบริหารงานบริการเป็นแบบป้องกันไว้ก่อนมากกว่าเป็นการตามแก้ไขปัญหา  ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนคุณภาพการบริการให้ดีขึ้น


องค์ประกอบของการบริหารการบริการ
การทำตารางและลำดับขั้นตอนการบริการ  แสดงความสัมพันธ์กิจกรรมต่าง     ของหน้าร้านหลังร้าน  ฝ่ายสนับสนุน  ฝ่ายบริหารมีการวิเคราะห์จำแนก  การให้บริการหลักและบริการที่ถือเป็นส่วนเสริม   ระบุรูปแบบและกระบวนการต่าง  ๆของการบริการ    องค์ประกอบของระบบการบริหารการบริการที่พึงได้รับการผสมผสานกันเป็นอย่างดีเพื่อนำไปสู่เป้าหมายร่วมกันคือ  ความพึงพอใจและความจงรักภักดีของลูกค้า

ผู้บริหารควรตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่ได้ประสานไปด้วยกันอย่างดีมุ่งให้เกิดประโยชน์ตอบสนองความต้องการของลูกค้า   ในการปฏิบัติงานบริการอาจเกิดความขัดแย้งในหน้าที่ได้  การมุ่งเน้นการผลิตและบริการใหม่    ในองค์การ บางที่จะได้รับการต่อต้านเนื่องจากกรรมวิธีให้บริการแนวใหม่    ไปด้วยกันไม่ได้กับแนวปฏิบัติเดิมไม่เหมาะสมสอดคล้องในความคิด  ความรู้สึกของพนักงาน  ผู้บริหารงานบริการควรให้พนักงาน  ผู้จัดการได้รับรู้และเรียนรู้เป้าหมายความสำคัญและการปฏิบัติงานของแต่ละฝ่ายด้วย
แนวคิดเกี่ยวกับการตลาด    ผู้บริหารการบริการพึงแสวงหากลยุทธ์การเพิ่มลูกค้าอาจผ่านทางสื่อต่าง    เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย  การนำเสนอที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอมีการให้บริการทีรวดเร็ว  เชื่อถือได้  ทำการประเมินและเลือกตลาด  เลือกให้บริการที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายกำหนดราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนและภาวการณ์แข่งขัน   พัฒนาวิธีการส่งเสริมประชาสัมพันธ์งานบริการให้เป็นที่รู้จักผ่านสื่อเทคโนโลยีและข่าวสารอื่น     ที่เหมาะสม   การบริหารการตลาดที่ดีต้องกระทำในเชิงกลยุทธ์  ให้รู้สึกเท่ากัน  การแข่งขัน  ปรับกระบวนการทำได้ดีและเตรียมการล่วงหน้า
แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติการ      ผู้บริหารควรเลือกใช้กลยุทธ์และเทคนิควิธีปฏิบัติที่นอกเหนือจากจะอาศัยพนักงานผู้ปฏิบัติผู้ให้บริการที่มีทักษะความรู้ความสามารถในงานยังต้องอาศัยเครื่องมืออุปกรณ์   บริการข่าวสารสนเทศ  เพื่อสร้างสื่อบริการที่มุ่งสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่มเป้าหมายได้ดี   ซึ่งจะผันแปรไปตามและลักษณะของการให้บริการ   ความสะดวกรวดเร็ว  ความถูกต้องและเป็นที่เชื่อถือได้ทางการให้บริการจะมีมากขึ้นหากการบริหารการบริหารพัฒนาพนักงานผู้ให้บริการที่มีทักษะในวิชาชีพมีการนำเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมทันสมัยเข้ามาช่วยการบริการ  มีฐานข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์การสนับสนุนการปฏิบัติ

การบริการทรัพยากรมนุษย์ขององค์การบริการ
แนวคิดในยุคใหม่นี้ถือว่าพนักงานขององค์กรมีความสำคัญที่สุด  เปลี่ยนจากเดิมที่เชื่อว่าเป็นภาระของหน่วยงานที่ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแล   แต่ควรได้รับการพัฒนาให้มีความผูกพันทำงานได้ดีในองค์การ   การบริหารการจัดการในที่นี้หมายรวมถึงการวางแผนกำลังคน   การสรรหาและการคัดเลือก   การฝึกอบรมพนักงาน  การกำหนดค่าตอบแทนและสวัสดิการ  และการพัฒนาความก้าวหน้าในอาชีพให้แก่พนักงาน  เป็นต้น

การวางแผนกำลังคน
ภาคบริการพึงคำนึงกับภาวะแรงงานอาชีพต่าง     ของตลาดด้วยตลาดแรงงานบางอาชีพมีลักษณะ  “ตึงตัว”  เช่น  แพทย์  วิศวกร  เป็นต้น  วิชาชีพบางอย่างมีความต้องการมากแต่อำนาจการตอบสนองมีน้อย   ในมุมกลับตลาดแรงงานบริการในระดับพนักงานขายอาจจะมีลักษณะ  “ล้น”  คนมากกว่างาน   การวางแผนกำลังคนด้านธุรกิจบริการ   ผู้บริการพึงคำนึงถึงกลุ่มอาชีพ  สภาพภูมิศาสตร์และสภาพของคู่แข่งในธุรกิจนั้น    ประกอบด้วย    นอกจากลักษณะของธุรกิจที่ประกอบอันจะนำไปสู่การกำหนดคุณสมบัติของพนักงานที่ต้องการในการสรรหาคัดเลือก

การสรรหาและการคัดเลือกพนักงานในธุรกิจบริการ
องค์การสามารถสรรหาคัดเลือกพนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงานและสภาพวัฒนธรรมขององค์การ   เดิมองค์การมักมุ่งเน้นสรรหาบุคคลเพื่อสามารถบรรจุลงในตำแหน่งที่ว่าง   ในยุคของการแข่งขันการสรรหา  และการคัดเลือกพนักงานขององค์การจะต้องไม่จำกัดแต่เพียงความเหมาะสมระหว่างคน  -  งาน  เท่านั้น  การมุ่งสรรหาคัดเลือกบุคคลที่มีทักษะความรู้ความสามารถบุคคลิกภาพมีความคิด   ความเชื่อ  ความสนใจในอาชีพที่เหมะกับภาวะสภาพแวดล้อมของคได้รับการคัดเลือก   ผู้กำหนดบรรยากาศ  การบริการขององค์การทำให้แต่ละองค์การมีลักษณะที่แตกต่างกันไป   การที่คนเลือกงานหรือองค์การเพื่อปฏิบัติงานนั้นอาจเนื่องจากหลายสาเหตุเพื่อก่อให้เกิดความสอดคล้องระหว่างค่านิยมหรือภาวะความต้องการภายในตนกับลักษณะสภาพแวดล้อมขององค์การ

การคัดเลือกพนักงานบริการไม่ควรจำกัดเฉพาะการใช้แบบทดสอบความรู้ความสามารถทั่วไป  ควรเป็นการประเมินบุคคลทั้งตัวไม่ใช่มุ่งวัดคนเก่งที่มีคุณภาพอย่างเดียว  แต่ต้องวัดความเหมาะสม   ความดีมีคุณภาพสร้างคุณประโยชน์ให้แก่องค์การได้ด้วย  จึงน่าที่จะแสวงหาเทคนิควิธีประเมินอื่น    ที่ทำให้เราได้ทราบถึงอุปนิสัยใจคอ   การแสดงพฤติกรรมการให้บริการที่เหมาะสมของบุคคล   เป็นบุคคลที่ชอบให้ความช่วยเหลือเป็นผู้ที่ไวต่อความรู้สึกความต้องการของผู้อื่นและให้ความร่วมมือปฏิบัติตามระเบียบ  มีความสนใจใฝ่รู้ ปรับตนได้ดี  เป็นที่ชื่นชอบ  สามารถทำงานเป็นทีมได้  มีส่วนส่งเสริมความเป็นผู้รับบริการที่จงรักภักดีกับองค์การได้

การประเมินผลการปฏิบัติงานในองค์การบริการ
ผู้บริหารบริการสามารถพิจารณาผลการปฏิบัติงานของพนักงานในระดับบุคคลได้   3   แนวทาง  คือ
1.     ข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการ      คุณภาพและปริมาณของการให้บริการ  สิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลที่มีความบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของการบริการว่าเป็นไปตรงตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้แต่แรกหรือไม่   ยากที่ผู้ใดจะบิดเบือนข้อมูลเหล่านี้ได้หากกำหนดระบบการดำเนินการตรวจสอบไว้ให้รัดกุม   วิธีนี้เก็บรวบรวมได้ง่ายและเป็นที่ยอมรับของพนักงานบริการ
2.     ข้อมูลเชิงบุคลากร      ข้อมูลเฉพาะบุคคลของพนักงานบริการจะถูกเก็บไว้เป็นแฟ้ม  ที่ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการทำงานบริการ    โดยพิจารณาได้จากจำนวนวันหยุด  ลากิจ  ลาป่วย  วันที่ขาดงาน  คำร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมการให้บริการหรือคำแสดงความชื่นชม   ตลอดจนการเก็บประวัติบุคคล  ประวัติการทำงาน  ความสามารถพิเศษ  ความก้าวหน้าในอาชีพของพนักงาน  การเลื่อนตำแหน่งการโยกย้ายงาน การฝึกอบรมทักษะที่เกี่ยวกับงานบริการด้านต่าง  
3.     ข้อมูลเชิงวิจารณญาณ      ข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นของหัวหน้างานบริการหรือผู้ใช้บริการเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานผู้ให้บริการตามรายการที่ให้ประเมิน   ความมีประโยชน์ของข้อมูลที่ได้จะมีมากหากประเมินพฤติกรรมที่สังเกตได้และเกี่ยวข้องกับงานบริการนั้น     
ข้อมูลที่ได้จากผลการปฏิบัติงาน   ผู้บริหารการบริการอาจนำไปเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดค่าตอบแทนซึ่งอาจอยู่ในรูปของเม็ดเงินที่จะให้เพิ่มในแต่ละปี   โบนัส   สวัสดิการ   รางวัลอื่น     แก่พนักงานบริการหรือเป็นประโยชน์กับการพัฒนางาน   ส่งเสริมด้านที่เด่นและแก้ไขปรับปรุงด้านที่พนักงานผู้นั้นบกพร่อง


การกำหนดค่าตอบแทนขององค์การบริการ
ในที่นี้อาจแบ่งค่าตอบแทนออกเป็น   2   ประเภท   ได้แก่    ค่าตอบแทนโดยตรงที่เป็นเม็ดเงินในรูปของ  เงินเดือน  โบนัส  เงินค่าครองชีพ  เงินช่วยเหลือพิเศษและค่าตอบแทน   ส่วนค่าตอบแทนโดยอ้อมที่อาจจะไม่ใช้เม็ดเงิน  เช่น  สถานที่ออกกำลังกาย  รถรับ – ส่ง  การนำเที่ยว   เป็นต้น   อาจกล่าวได้ว่าค่าตอบแทนเป็นสิ่งจูงใจพนักงานให้อยู่ทำงานกับองค์การ    หัวใจของการกำหนดค่าตอบแทนที่ผู้บริหารบริการควรคำนึงถึง  ก็คือ  การรักษาสมดุลของต้นทุน  ค่าใช้จ่ายที่ใช้เป็นค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติงานของพนักงาน     หากเกิดความรู้สึกที่ไม่เสมอภาคไม่เท่าเทียมกันก็จะเป็นมูลเหตุให้เกิดพฤติกรรมที่  “แปรปรวน”  เช่น  ทำงานไม่เต็มที่  ขาดงาน  ลากิจ  ลาออกจากงาน  เป็นต้น   ผู้บริหารงานบริการควรพยายามสร้างและส่งเสริมให้มีความเท่าเทียมเชิงบุคคลว่าค่าตอบแทนยึดตามปัจจัยทดแทน  ปัจจัยทดแทนของงานในที่นี้หมายถึงลักษณะใด     ของงานที่ใช้เป็นมาตรฐานของการประเมินคุณค่าเชิงเปรียบเทียบของงานนั้นกับงานอื่น     ภายในองค์การที่เกี่ยวข้องกับงานธุรกิจนั้น     และเป็นที่ยอมรับได้จากผู้คนที่เกี่ยวข้อง

การปฐมนิเทศพนักงานใหม่และการฝึกอบรมพนักงานขององค์การบริการ
ผู้บริหารองค์การบริการพึงจัดให้มีการปฐมนิเทศแก่พนักงานใหม่ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการขัดเกลานิสัยทางสังคมให้รู้จักองค์การ  และแนวทางปฏิบัติในระหว่างการเป็นสมาชิกได้ดียิ่งขึ้น      สมาชิกใหม่ขององค์การมีค่านิยม  ความสนใจ  ความสามารถและความโน้มเอียงในชีวิตที่แตกต่างกัน    การปฐมนิเทศจะเป็นเครื่องมือลดความเครียด  ความวิตกกังวล   เป็นการย่นย่อการเรียนรู้  สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสมาชิกใหม่กับองค์การ    การปฐมนิเทศจึงมีความสำคัญกับองค์การบริการโดยเฉพาะหากงานนั้น    ต้องอาศัยการทำงานบริการเป็นทีม
การฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาตนในด้านบริการ     ควรมีนโยบายที่แน่ชัดในการพัฒนาพนักงานบริการให้มีทักษะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น