กล้องวงจรปิด

รูปภาพของฉัน
บริการให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง รับประกันผลงานตลอดอายุการใช้งาน กล้องวงจรปิด รั้วไฟฟ้า สัญญาณกันขโมย สอบถามได้ที่ Line ID : @CctvBangkok.com

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กล้องวงจรปิดกับทฤษฎีด้านประชากรศาสตร์


กล้องวงจรปิดกับทฤษฎีด้านประชากรศาสตร์
1. ความหมายของประชากรศาสตร์
ประชากรศาสตร์ หมายถึง ลักษณะความแตกต่างของแต่ละบุคคล เป็นการหาความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ทางด้านพฤติกรรมของประชากรและการเปลี่ยนแปลงในปรากฎการณ์ทางประชากรจะมีอิทธิพลต่อการสื่อสาร (สันทัด  เสริมศรี. 2541 : 6-7)  อันได้แก่ จำนวนประชากรความหนาแน่นต่อพื้นที่ การกระจายของอายุ ผิวพรรณ อัตราการเกิด อัตราการตายและการแต่งงาน(อัจจิมา  เศรษฐบุตร 2544) หรือเป็นการศึกษาเกี่ยวกับประชากรมนุษย์ในรูปขนาด ความหนาแน่น ถิ่นที่อยู่ อายุ เพศ เชื้อชาติ และข้อมูลสถิติด้านอื่นๆ (Kotler, 2003) หรือเป็นกลุ่มของปัจจัยที่ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านอายุของประชากรศาสตร์ของสังคมในด้านอายุการศึกษาโครงสร้างทางครอบครัวการย้ายถิ่นฐานของประชากร (วิทวัส รุ่งเรืองผล, 2545)

   ดังนั้นประชากรศาสตร์มีผลต่อการดำเนินการทางการตลาดของกิจการเราต้อง ติดตามศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้หลักการตามศึกษาสภาพแวดล้อมที่สำคัญ ได้แก่

 
 1. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านอายุ มักแสดงถึงความต้องการบริโภคสินค้า และบริการของตลาด เพราะแต่ละช่วงอายุที่เปลี่ยนแปลงย่อมจะมีความต้องการสินค้าและบริการและรวมถึงพฤติกรรมของลูกค้าในการซื้อที่แตกต่างกัน นักการตลาดจึงควรศึกษาถึงจำนวนประชากรในแต่ละช่วงอายุ เพื่อพยากรณ์ทิศทางการดำเนินงานทางการตลาดให้ถูกต้องตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือของประชากรในแต่ละช่วงอายุให้มากที่สุด เช่น จากสำนักงานสถิติแห่งชาติได้ทำการสำรวจจำนวนประชากรจากทะเบียนของประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีที่ทำการสำรวจอยู่ตลอดย่อมมีผลต่อการเพิ่มหรือขยายโอกาสทางการตลาดให้แก่สินค้า สำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เช่น สินค้าที่ เกี่ยวกับสุขภาพ สปา เครื่องออกกำลังกายในขณะที่ตลาดของสินค้าเกี่ยวกับเด็กจะลดขนาดลงไป เช่นสินค้าของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอนห์สันผู้ผลิตสินค้าเด็กซึ่งเดิมจะผลิตสินค้าสำหรับเด็ก โดยเฉพาะแต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ โดยหันไปโฆษณาเพื่อจูงใจผู้ใหญ่มาใช้สินค้ามากขึ้นนับเป็นการขยายตลาดนอกเหนือไปจากตลาดเด็กเดิมซึ่งมีแนวโน้มลดลง (วิทวัส รุ่งเรืองผล, 2545)
 
2. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านระดับการศึกษา การที่ประชากรที่ดีขึ้นย่อมหมายถึงความสามารถในการประกอบอาชีพที่ดีขึ้นและมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นอำนาจซื้อในตลาดที่เพิ่มขึ้นนั่นเองพร้อมกับพิถีพิถันในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการความต้องการและรสนิยมที่ดีขึ้นด้วยมี ผลให้เกิดธุรกิจประเภทต่างๆขึ้นใหม่เช่นการขายของออนไลน์เป็นการตอบสนองความต้องการของประชากรที่เปลี่ยนไป

3.การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางครอบครัวของไทยนั้นจะสามารถสังเกตการณ์ การเปลี่ยนแปลงได้สองด้าน คือ ด้านอายุของคู่สมรสและด้านขนาดของครอบครัว เป็นผลจากค่านิยมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น มีลูกน้อยแต่งงานช้าหรือแม่บ้านออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น ไม่รอสามีเลี้ยงอย่างเดียว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มีผลต่อการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของธุรกิจหลายประเภท เช่น การบริการ ส่งสินค้าถึงบ้าน

4. การย้ายถิ่นฐานของประชากรในสังคม เป็นอีกปัจจัยที่สามารถส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทางการตลาดของกิจการได้ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการอพยพย้ายถิ่นฐานของคนในต่างจังหวัดเพื่อมาประกอบอาชีพในเมืองหลวง เช่น กรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้น จึงทำให้ในเมือง ดังกล่าวมีขนาดและมีอำนาจซื้อมากกว่าในเขตต่างจังหวัด อย่างไรก็ตามในปัจจุบันหน่วยธุรกิจเริ่มขยับขยายออกไปตั้งกิจการหรือสาขาแห่งใหม่ในจังหวัดใหญ่ๆ นอกกรุงเทพฯมากขึ้นเช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี นครศรีธรรมราช การเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของประชากรทำให้ลักษณะการทำงานต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทำให้สินค้าและบริการที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทั้งโทรศัพท์ แฟกซ์ อินเตอร์เน็ต มีโอกาสทางการตลาดเพิ่มขึ้น (วรเวศม์  สุวรรณระดา, 2553)

  2. แนวคิดเกี่ยวกับประชากรศาสตร์
แนวความคิดเกี่ยวกับประชากรในประเทศไทยเป็นที่ยอมรับกันมาตั้งแต่สมัย   กรุงสุโขทัย โดยเฉพาะในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อการทหารและทางเศรษฐกิจของประเทศ เห็นได้จากการแยก ประชากรให้ทำหน้าที่สำคัญอย่างใดอย่างหนึ่ง คือทำหน้าที่ทางเศรษฐกิจเพื่อนำรายได้ให้รัฐเพื่อใช้ในกิจการป้องกันประเทศหรือมิฉะนั้นก็รับราชการทหาร ทำหน้าที่ป้องกันประเทศจากการรุกรานของ ศัตรู พอถึงสมัยรัตนโกสินทร์ความสนใจของรัฐบาลในด้านประชากรได้เริ่มขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2446ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 กรมมหาดไทยได้เริ่มการทำสำมะโนประชากรขึ้นเพื่อประโยชน์ของการเกณฑ์ประชาชนชาวไทยให้เป็นทหาร ใช้เวลาในการทำประมาณ 7 ปี สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงสนพระทัยเรื่องประชากรของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ท่านเห็นว่า เมืองไทยนั้นกว้างขวางมากแต่ประชากรมีน้อย จะมีการเพิ่มประชากรให้มากขึ้นเป็น 5-6 เท่าก็คิดว่าจะไม่แออัด และทรงเน้นว่าความเจริญของชาติบ้านเมืองก็ขึ้นอยู่กับประชากรด้วยเช่นกัน ถ้าประชากรของไทยมีมากก็ทำให้ประชากรที่เป็นทหารมีมากด้วยเช่นกัน กิจการที่ทำการค้าขายก็จะมีมากขึ้นด้วยเหมือนกันเงินภาษีที่เก็บได้ก็จะมีมากตามไปด้วย ทั้งได้ทรงเห็นว่าประชากรในไทยมีการเกิดมากแต่ประชากรก็มีการตายที่มากด้วยเช่นเดียวกัน จึงเป็นเหตุให้ประชากรมีการเพิ่มจำนวนที่ไม่มากพอสมควรเท่าไรนักแต่การสาธารณสุขจะช่วยทำให้เด็กที่เกิดมาไม่ตายและดำเนินชีวิตต่อไปจนชราภาพ อันเป็นเหตุให้ประชากรมากขึ้นได้  (เพ็ญพร  ธีระสัวสดิ์, 2539)
  พระราชดำริของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ. 2446 นี้จัดว่าเป็นแนว ความคิดที่เกี่ยวข้องกับประชากรที่สำคัญของประเทศไทยและจัดว่าเป็นนโยบายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประชากรในประเทศไทย เพราะมีการดำเนินการให้เป็นไปตามแนวคิดนั้น ได้ทำการปรับปรุงขยายงานของ สาธารณสุขออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในสมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชา   นุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย งานสาธารณสุขได้มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและได้ผลซึ่งมีจุดประสงค์สำคัญอันหนึ่งคือ การลดอัตราการตายของประชากรเพื่อที่เพิ่มประชากรของประเทศให้มากขึ้นในสมัยนั้น ปรากฏว่าผลเป็นไปตามแนวคิดของท่าน ในปี พ.ศ.2473 ประชากรของประเทศไทยเพิ่มขึ้น และการตายได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

3. ทฤษฏีเกี่ยวกับประชากรศาสตร์
ไพบูลย์  ช่างเรียน (2515 : 5-8) กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับประชากรของประเทศต่างๆ แตกต่างกันออกไปตามภาวะเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง แต่มีแนวคิดและทฤษฏีที่สำคัญที่เกี่ยวกับประชากรในอดีตอย่างเช่นนักปราชญ์   สมัยโบราณมีแนวคิดเกี่ยวกับประชากรมุ่งเน้นไปทางด้านการเมือง ต่อมาภายหลังได้มุ่งเน้นไปทางด้านเศรษฐกิจและสังคม แนวความคิดที่จัดว่าดั้งเดิมที่สุด ได้แก่ แนวความคิดของขงฟูจื้อนักปรัชญาชาวจีนมีความเห็นว่าประชากรที่เพิ่มมากจนเกินไป อาจจะทำให้ผลผลิตต่อคนทำงานลดลงได้ และอาจมีผลกระทบกระเทือนให้ระดับการครองชีพใช้ชีวิตต่ำไปด้วย นักปราชญ์จีนยุคนั้นได้ศึกษาถึงขนาดของประชากรของเขาในเขตที่มีประชากรหนาแน่นไปสู่ที่มีประชากรเบาบางน้อยลงไป จึงเห็นได้ว่านักปราชญ์จีนยุคนั้น ได้พิจารณาเห็นว่ารัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เกี่ยวกับประชากรซึ่งเป็นแนวความคิดที่ไม่แตกต่างกับแนวความคิดของผู้บริหารและนักวิชาการในอีก หลายๆ ประเทศทำให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทโดยตรงในการแก้ปัญหา นักปราชญ์จีนยุคนั้นยังได้มีความเห็นว่าการเพิ่มประชากรในยุคนั้นอาจถูกยับยั้งได้โดยสาเหตุต่างๆ หลายประการ เช่น ในขณะที่มีการขาดแคลนอาหารอัตราการตายได้เพิ่มขึ้น ทำให้การเพิ่มของประชากรช้าลง หรือพิธีสมรสซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงทำให้มีการสมรสน้อยลง หรือสงครามทำให้การเพิ่มน้อยลง
  เพลโตและอริสโตเติล นักปราชญ์สมัยกรีกทั้งสองท่านได้พิจารณาถึงขนาดประชากรที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ นครรัฐของกรีกสมัยนั้นเพลโตเห็นว่าจำนวนประชากร 5,040 คนเหมาะ ที่สุดสำหรับนครรัฐทุกแห่ง ทั้งในยามสงบและในยามสงคราม ส่วนอีกท่านคืออริสโตเติล ไม่ได้ระบุถึงจำนวนที่แน่นอนของประชากรที่เหมาะสมที่สุดของนครรัฐ แต่ได้ให้ความเห็นว่าหากไม่จำกัดขนาดของประชากรแล้วก็จะเกิดความยากจนขึ้นได้
  ซิเซโร นักปราชญ์สมัยโรมันได้ศึกษาสาเหตุที่ยับยั้งการเพิ่มของประชากรและเห็นว่า สาเหตุที่สำคัญ ได้แก่ อุทกภัย โรคระบาด ขาดแคลนอาหาร สัตว์ร้าย  ความอดยากสงคราม และการปฏิวัติ สำหรับชาวโรมันคนอื่นๆได้พิจารณาประชากรแตกต่างไป จากชาวกรีกซึ่งพิจารณาขนาดของประชากรที่เหมาะสมกับนครรัฐของตน แต่ชาวโรมันพิจารณาประชากรที่เหมาะสมกับอาณาจักรของตนเอง จึงมุ่งไปในทางที่จะเพิ่มประชากรให้มากขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อกำลังและอำนาจ
  เมอร์แคนทิลิสต์ นักเศรษฐศาสตร์ในคริสศตวรรษที่17 และ18 ได้ให้แนวความคิดว่าประชากรยิ่งมีจำนวนมากเท่าใดและเพิ่มขึ้นรวดเร็วเท่าใดก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อทางด้านเศรษฐกิจและการทหารมากขึ้นเท่านั้น และมุ่งแต่เพียงในการที่จะเพิ่มอำนาจและความมั่งคงให้รัฐที่เป็นส่วนรวม มิได้มีความมุ่งหมายที่จะเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรแต่ละคน แนวความคิดนี้เห็นว่าการเพิ่มของประชากรจะทำให้รายได้ประชาชาติสูงขึ้น แต่จะทำให้ค่าจ้างแรงงานต่อชั่วโมงลดลงไป ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนงานแต่ละคนต้องเพิ่มชั่วโมงเวลาทำงานของตัวเองให้มากขึ้นไปอีก จึงทำให้มีการพิจารณาหาหนทางและสนับสนุนในการที่จะกระตุ้นให้ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แนวคิดนี้จัดว่าเป็นที่มาของความคิดในปัจจุบันของผู้ที่สนใจในด้านประชากรบางกลุ่มที่ว่าประชากรยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าใดก็จะเพิ่มกำลังอำนาจของประเทศขึ้นเท่านั้น แนวความคิดนี้ถือว่าเหมาะสมกับประเทศในยุโรปขณะนั้น ซึ่งทำการขยายอาณานิคมอย่างกว้างขวาง
  โทมัส มัลทัส (1766) กล่าวไว้ว่า ได้กระตุ้นให้เกิดความสนใจอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนประชากรและผลที่เกิดขึ้น มัลทัสมีความเห็นว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะเพิ่มผลผลิตที่จำเป็นสำหรับชีวิตได้ช้ากว่าการเพิ่มประชากร อธิบายว่าการเพิ่มผลผลิตของสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเลขาคณิต คือ จาก 1 เป็น 2, 3, 4 ตามลำดับ แต่ประชากรเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเรขาคณิต คือ เพิ่มจาก 1 เป็น 2, 4, 8 ตามลำดับ และการเพิ่มของประชากรถูกยับยั้งด้วยสาเหตุบางประการ เช่น การอดยาก ขาดแคลนอาหาร
  จอห์น มิลล์ (1806) กล่าวไว้ว่า นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มคลาสสิคเห็นว่าจำเป็นต้อง   มีการควบคุมการเพิ่มของจำนวน ประชากร เพราะอาหารที่ได้มาจากประเทศที่ส่งอาหารให้เป็นสินค้าออกนั้นมีจำนวนจำกัดและ ประชากรของประเทศที่ส่งอาหารให้ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
  คาร์ล มาร์คซ์ (2361) กล่าวไว้ว่า นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มสังคมนิยม ได้เสนอแนวความคิดเห็นของเขาว่า การที่มีประชากร มากจนเกินไปนั้นจะมีผลเกิดขึ้นก็เฉพาะในระบบการผลิตตามระบบนายทุนเท่านั้น ทั้งนี้เพราะทุนเพิ่มขึ้นประกอบกับการเพิ่มของประชากรจึงเกิดการว่างงาน การที่มีประชากรล้นงานจัดว่าเป็นสิ่งที่เกิดควบคู่กันอยู่แล้ว ในระบบเศรษฐกิจระบบทุนนิยม  นักสังคมนิยมคนอื่นๆ ในสมัยนั้นต่อมาก็มีความเห็นคล้ายคลึงกันซึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของมัลทัสแต่เมื่อดูจากข้อมูลเท็จจริง ในปัจจุบันก็จะเห็นคำกล่าวของมาร์คซ์ได้ว่ายังไม่ถูกต้องเพราะแม้ประเทศคอมมิวนิสต์ในปัจจุบันก็ได้พยายามที่จะยับยั้งการเพิ่มประชากรในประเทศอยู่

4. ทฤษฏีการขยายตัวของเมืองและการเพิ่มประชากรในกรุงเทพมหานคร
  การขยายตัวของกรุงเทพฯได้อย่างลึก ซึ่งเราจึงควรทำความเข้าใจ ทฤษฏีการขยายตัวของกรุงเทพฯ โดยทั่วไปเพื่อเป็นแนวทางการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคได้ในการขยายตัวเพื่อหาแบบอย่าง (Model) ของการขยายตัวในที่นี้ทฤษฏีที่มีชื่อเสียงมากคือ
              1.    Burgess,
              2.    Hoyt
              3.    Mckenzie


1. ย่านธุรกิจใจกลางเมือง      
2. โซนของกาเรปลี่ยนแปลง
3. โซนบ้านชนชั้นแรงงาน   
4. โซนของที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น ชนชั้นกลาง
5. โซนของผู้ที่อาศัยเดินทางไปกลับ เช้า - เย็น


แผนภูมิที่  2 โมเดลการขยายตัว Central Business District
ที่มา:ไพบูลย์ช่างเรียน. (2515) อ้างอิงจากสันนิบาตแห่งประเทศไทย, เอกสารประกอบความรู้เนื่องในการประชุมใหญ่ ส.ท.ท. ครั้งที่ 7, เล่มที่ 1 2509, หน้า 74
  Concentric Zone Theory เป็นทฤษฏีของ Ernest W. Burgess ถือว่าเมืองมีลักษณะการ ขยายตัวเป็นวงกลม หรือส่วนของวงกลมออกจากจุดศูนย์กลางของวงกลมเป็นลำดับ เช่น วงกลมที่ 1 เป็นย่านธุรกิจกลางที่เรียกว่า CBD (Central Business District) เป็นแกนกลางของเมืองหลวงวงกลมที่ 2 เป็น Transition Zone มีการผสมระหว่าง CBD และบริเวณที่อยู่อาศัยของชนชั้นแรงงานที่ประกอบด้วยวงกลมที่ 3และวงกลมที่ 4 เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลางวงกลมที่ 5 เป็นย่านที่อยู่อาศัยของผู้เดินทางไปกลับเช้าเย็นมายังเมือง จากทฤษฏีนี้กรุงเทพฯ ควรมีลักษณะของการขยายตัวเป็นเขตต่างๆ ดังรูป


 แผนภูมิที่ 3 โมเดลการขยายตัวแบบ Concentrice Zone Theory
ที่มา:ไพบูลย์ช่างเรียน.(2515) อ้างอิงจากสันนิบาตแห่งประเทศไทย, เอกสารประกอบความรู้เนื่องในการประชุมใหญ่ ส.ท.ท. ครั้งที่ 7, เล่มที่ 1 2509, หน้า 74

               Sector Theory เป็นทฤษฎีที่ตั้งขึ้นโดย Homer Hoyt โดยมีหลักการเน้นถึงการใช้ที่ดิน ประเภทอยู่อาศัยว่าเป็นไปในลักษณะลิ่มอันมีหัวแหลมเป็นศูนย์กลางของเมืองหลวงและบานปลาย ออกไปตามแนวเส้นทางคมนาคมบ่งบอกถึงกลุ่มชนชั้นที่มีรายได้ต่างๆ ไม่เหมือนกัน มีการอาศัยอยู่ เป็นเขตต่างๆ กันในลักษณะของส่วนวงกลมที่ตัดออกมานี้ โดยเส้นรัศมีมี 2 เส้นด้วยกันจาก CBN (Central Business District) ออกไปทฤษฏีนี้เมืองหลวงจึงควรมีลักษณะการขยาย ตัวออกเป็นดังรูป

1. ย่านธุรกิจใจกลางเมือง
2. ย่านธุรกิจขายส่ง
3. ย่านใช้แรงงาน
4. ย่านชนชั้นกลางรายได้ดีขึ้น
5. ย่านชนชั้นสูงรายได้ดี
6. ย่านที่มีการผลิตเป็นโรงงาน
7. ย่านธุรกิจที่ห่างไกล
8. ย่านชานเมือง
9. ย่านเมืองอุตสาหกรรม


แผนภูมิที่ 4 โมเดลการขยายตัวแบบ Sector Theory
 ที่มา:ไพบูลย์ช่างเรียน.(2515) อ้างอิงจากสันนิบาตแห่งประเทศไทย, เอกสารประกอบความรู้เนื่องในการประชุมใหญ่ ส.ท.ท. ครั้งที่ 7, เล่มที่ 1 2509, หน้า 74
              Multiple Nuclei Concept เป็นทฤษฏีที่เริ่มขึ้นโดย R.D. Mckenzie กล่าวไว้ว่าลักษณะของเมืองนั้นหาได้มีศูนย์กลางอยู่แห่งเดียวเหมือนที่สองทฤษฏีแรกกล่าวเอาไว้แต่ต้น หากแต่จะมีศูนย์กลางของเมือง (Mucleus) อยู่หลายแห่งซึ่งศูนย์กลางเหล่านี้อาจจะเป็นศูนย์อุตสาหกรรม ศูนย์การค้าส่ง ศูนย์การค้าปลีก ศูนย์การศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลักษณะ ของการขยายตัวของเมืองตามทฤษฏีนี้  จึงมีลักษณะดังนี้
เมื่อเราเอาทฤษฏีทั้ง 3 แบบมาตั้งเป็น Model ในการเปรียบเทียบลักษณะการขยายตัวของเมือง      ในกรุงเทพฯ จะมองเห็นได้ว่าทฤษฏีสุดท้ายของ R.D. Mckenzie Multiple Nuclei Concept มีความ ใกล้เคียงมากที่สุด เพราะเขตเมือง (Urbanized Area) ของกรุงเทพฯ ได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง โดยมีแหล่งชุมชนหลายจุด ศูนย์กลางการค้าที่เคยมีเพียงแค่เขตบางรัก เขตบางลำพู ก็จะไม่พอแก่การบริการ ทำให้ศูนย์การค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันจากการขยายตัวของชุมชน ภายในกรุงเทพฯ มีลักษณะที่มีแหล่งชุมชนหลายจุดตามลักษณะใกล้เคียงกับทฤษฏี Multiple Nuclei Concept ที่เคยกล่าวมาแล้วนั้น แต่แหล่งชุมชนย่อยๆ หลายจุดนั้นก็อยู่ห่างกันไม่มากนัก เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมแล้ว เมื่อดูลักษณะทั่วไปของแหล่งชุมชนทั้งหมดในเมืองหลวงกรุงเทพฯ รวมๆ กันจะปรากฏลักษณะใหม่ของการขยายตัวของกรุงเทพฯ คือเขตมืองซึ่งเริ่มขึ้น ณ บริเวณมหาราชวังแล้วค่อยๆ ขยายออกไปในลักษณะคล้ายรูปตัววี ออกไปทางทิศเหนือ ทิศใต้  (ไพบูลย์  ช่างเรียน, 2515)
 

สาเหตุการขยายตัวของกรุงเทพฯ ถ้าพิจารณาในด้านทฤษฏีแล้วจะพบว่าสาเหตุของการ ขยายตัว ของกรุงเทพฯ มีขึ้นอย่างรวดเร็วมีสาเหตุมาจากปัจจัยในด้านต่างๆ ดังนี้
1.สาเหตุของการเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วเนื่องจากเขตกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง รวบรวมของความเจริญไว้ทุกด้าน ตลอดจนศูนย์รวมของอาชีพทำให้ผู้คนประชาชนอพยพเข้ามาประกอบอาชีพเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งอัตราการเกิดของคนในกรุงเทพฯ มีอัตราการเกิดไม่สูง อัตราการตายต่ำ จึงทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นในสัดส่วนไม่มาก มีผู้คำนวณว่าถ้าหากอัตราการเกิดของประชากรยังคงเป็นอยู่อย่างขณะนี้ กรุงเทพฯ จะมีอัตราการเพิ่มที่ไม่มากนัก
2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ความเจริญก้าวหน้าในด้านเครื่อง จักรกลและวิทยาการแผนใหม่ยังได้เปลี่ยนแปลงลักษณะเศรษฐกิจของเราแบบชนบทเป็นระบบ เศรษฐกิจแบบเมือง เปลี่ยนระบบการเพาะปลูกมาเป็นระบบอุตสาหกรรม ทำให้เราต้องการพนักงาน แรงงานเพิ่มมากขึ้นในเขตเมืองหลวง นอกจากนั้นยังมีที่ดินที่เคยทำการเพาะปลูกผักข้าว  ก็จะกลายเป็นเขตอุตสาหกรรมไป ย่านธุรกิจการค้าทำให้ชาวบ้านที่เคยอยู่อาศัยในบริเวณนั้นต้องอพยพไปหาแหล่งอาศัยใหม่ที่อยู่นอกเมืองออกไป ทำให้เกิดการขยายตัวของเมืองมากขึ้น

3.ความเสื่อมโทรมในตัวเมืองกรุงเทพฯ ปัจจุบันสภาพแวดล้อมของกรุงเทพฯ       มีความยุ่งยากและก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องที่อยู่อาศัย ปัญหาในการแบ่งโซน ปัญหาสุขภาพอนามัย ปัญหาด้านโจรผู้ร้ายและปัญหาด้านอื่นๆ อีกมากมาย อันเป็นการทำลายความสงบเรียบร้อย ความ      สงบสุขก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมข้างในด้านจิตใจแก่ผู้ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะประชาชนที่มี รายได้ปานกลาง จึงมีความพยายามดิ้นรนออกไปอยู่ในเขตชานเมืองด้วยการหาซื้อที่ผ่อนส่งจากการจัดสรรที่ดิน บ้านจัดสรร อันเป็นเหตุให้มีการขยายตัว ของชุมชนเกิดใหม่  (เกื้อ  วงศ์บุญสิน, 2545)

สาเหตุการขยายตัวของชานเมืองกรุงเทพฯ มากขึ้นทำให้เราต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น ควรมีกล้องวงจรปิดเอาไว้ใช้งาน มีลักษณะสำคัญดังนี้

1.ปัจจัยทางด้านการคมนาคม (Mass Communication) จากการที่ทางรัฐบาล ด้วยกรมทางหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีโครงการสร้างทางรถไฟฟ้า ทางหลวงตัดใหม่ต่างๆ ทำให้การคมนาคมติดต่อระหว่างชานเมืองกับตัวเมือง หรือศูนย์กลางของตัวเมืองเกิดความสะดวกสบายรวดเร็วในการคมนาคม ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว (Mobility) ไปมาได้รวดเร็ว ทั้งยานพาหนะชนิดต่างๆทำให้มีความเจริญเกิดขึ้นได้รวดเร็ว เห็นได้จากสภาพของชุมชนที่เกิดขึ้นตามสองข้างทางที่มีถนนตัดผ่านหรือสร้างถนนใหม่ๆ จะมีรถประจำทางหลายสายผ่าน 

2. ปัจจัยด้านที่อยู่อาศัย จากปรากฎการณ์ที่ประชาชนในตัวเมืองได้พากันอพยพออกไปอยู่ตามชานเมืองตามเส้นทางที่มีการคมนาคมสะดวกมากขึ้นนั้น ยังมีสาเหตุอีกประการหนึ่ง เกิดขึ้นจากความจำเป็นในด้านที่อยู่อาศัยการออกไปจัดหาที่ดินหรือที่อยู่อาศัยในบริเวณชานเมืองหลวงนั้นสามารถที่จะมีบริเวณบ้านได้อย่างกว้างขวางถูกสุขลักษณะทำให้ประชาชนที่มีอาชีพรายได้ ปานกลางสามารถหาซื้อเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยไม่แพงมากเหมือนบ้านที่อยู่ในตัวเมืองที่นอกจากจะแพงมากแล้วยังมีความแออัดมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยและปัญหาสุขภาพจิตเป็นอย่างมาก ส่วนมากบุคคลที่อพยพออกไปสู่ชานเมืองโดยทั่วไปจะเป็นผู้ที่มีรายได้ระดับปานกลางหรือข้าราชการที่พอจะมีเงินหรือสำหรับค่าที่ดินพอจะผ่อนส่งได้ ศาสตราจารย์อัน นิมมานเหมินทร์ ท่านได้เคยกล่าวเอาไว้จากสภาพแวดล้อมจริงในปัจจุบันนี้ว่า ในอนาคตนั้นผู้ที่จะอาศัยอยู่ในตัวเมืองก็คงจะได้แก่พวกมหาเศรษฐีหรือผู้ที่ยากจนจริงๆ เท่านั้นส่วนผู้ที่มีรายได้ปานกลางจะหนีไปอยู่ตามแถบชานเมืองกันหมด

3. ปัจจัยในด้านที่ตั้ง (Location) ปัจจัยในด้านที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมและที่ทำการของรัฐบาล สืบเนื่องมาจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของภาครัฐ จึงทำให้เกิดมีโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นในแถบชานเมือง เช่น บริเวณด้านสำโรง พระประแดง รังสิต บางแคปทุมธานี ฉะนั้นเมื่อเกิดย่านอุตสาหกรรมขึ้นแล้วก็จำเป็นต้องมีคนงานหรือกรรมกรเข้าทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม จึงทำให้เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยใกล้ๆ กับเขตอุตสาหกรรมเหล่านั้นเพื่อความสะดวกในการทำงาน เช่น ในย่านบางแค พบว่าหลังจากที่ได้เกิดโรงงานอุตสหกรรมขึ้นแล้วธุรกิจการค้าตลาดก็จะเกิดขึ้นตามไปด้วยสำหรับประเด็นที่น่าพิจารณคือ Location คือ การสร้างที่ทำการรัฐบาลจะมีส่วนช่วยชุมชนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะว่าประชาชนเห็นว่าเมื่อมีที่ตั้งของรัฐบาลแล้ว การบริการสาธารณะต่างๆ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา อินเตอร์เน็ต ถนนหนทางและความปลอดภัยก็จะตามมาทำให้ประชาชนได้อาศัยที่ตั้งของรัฐบาลเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยติดตามมาด้วย (ไพบูลย์ ช่างเรียน, 2515)
               
4. ปัจจัยในด้านการลงทุนของนักจัดสรรที่อยู่อาศัย จากสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันเกิด Mobility จากการ ทำถนนหนทางเพิ่มมากขึ้น มีรถไฟฟ้าตัดผ่าน ความสะดวกในการสัญจร   ไปมาดีขึ้น รวดเร็วขึ้นทำให้มีนักเก็ง กำไรในการจัดสรรที่ดินเกิดขึ้น เพราะเป็นการมองเห็นลู่ทาง  ที่จะได้ผลกำไรจากความต้องการของประชาชน ในด้านความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง    ได้ทำการจัดสรรที่ดิน บ้านสำเร็จรูป จัดทำสิ่งอำนวยความ สะดวกต่างๆ ขึ้น เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา ถนนเชื่อมต่อ อินเตอร์เน็ต เพื่อเป็นการจูงใจให้ประชาชนจับจองเป็น เจ้าของที่อยู่อาศัย ประชาชนซึ่งมีบทบาททำให้เกิดชุมชนการรวมตัวเพื่ออยู่อาศัยกันมากขึ้นในปัจจุบัน

5. ปัจจัยในด้านบทบาทของ Commuter เป็นแนวความคิดในด้านปัจจัยการขยายตัวของชานเมืองที่ เกี่ยวข้องกับเรื่อง Commuter หมายความว่า บุคคลที่อาศัยอยู่ตามชานเมืองที่ห่างออกไป แต่ได้อาศัยผลจากความสะดวกรวดเร็วและการคมนาคมเข้ามาทำงานและอาศัยบริการต่างๆ ในตัวเมืองแล้วกลับออกไปในตอนเย็น” (อัน นิมมานเหมินทร์, op.cit.)   ซึ่งแนวความคิดดังกล่าวนี้ในปัจจุบันได้ก่อให้เกิดการอพยพผู้ที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองออกไปอยู่ในแถมชานเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ย่านบางบัวทอง ย่านทวีวัฒนา บางแค  (สุชาดา  ทวีสิทธิ์, 2556)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น