กล้องวงจรปิด

รูปภาพของฉัน
บริการให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง รับประกันผลงานตลอดอายุการใช้งาน กล้องวงจรปิด รั้วไฟฟ้า สัญญาณกันขโมย สอบถามได้ที่ Line ID : @CctvBangkok.com

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การสื่อสารการตลาดสำหรับกล้องวงจรปิด (Marketing Communications)


 การสื่อสารการตลาดสำหรับกล้องวงจรปิด (Marketing   Communications)    
นับเป็นองค์กรที่สำคัญในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่าง     ไปสู่กลุ่มเป้าหมาย   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันธุรกิจมีการแข่งขันกันสูงมาก   แนวคิดของการสื่อสารการตลาด  ซึ่งประกอบไปด้วย  ความหมายของการสื่อสารการตลาด   บทบาทของการสื่อสารการตลาด  กระบวนการสื่อสารการตลาด  และความสัมพันธ์ของการสื่อสารการตลาด  และรวมทั้งส่วนอื่น    ที่เกี่ยวข้อง   ดังนี้

ความหมายของการสื่อสารการตลาด
                     การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดรูปแบบต่าง     เพื่อสื่อสารข้อมูลของผลิตภัณฑ์และองค์กร   ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายต่าง      เกิดการตอบสนองได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้  จะพบว่า  การสื่อสารการตลาดมิได้จำกัดอยู่กับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเท่านั้น   แต่หมายถึงการสื่อสารรูปแบบต่าง    ที่สามารถสื่อสารข่าวสารข้อมูลจากองค์กรไปสู่เป้าหมายที่นิยมใช้ในปัจจุบัน  ได้แก่การโฆษณา   การประชาสัมพันธ์  การส่งเสริมการขาย  และ  การใช้พนักงานขาย ซึ่งอาจเรียกว่า  “ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด”   แต่ในปัจจุบันก็ยังมีการใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาดรูปแบบต่าง    อีกมากมาย  ได้แก่   การตลาดเชิงกิจกรรม   การตลาดออนไลน์  และการเป็นผู้สนับสนุน   เป็นต้น    การสื่อสารการตลาดแต่ละประเภทต่างมีจุดแข็งและข้อจำกัด  วัตถุประสงค์ของการใช้ที่แตกต่างกันออกไป   นักสื่อสารการตลาดจึงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้จักและเข้าใจลักษณะของเครื่องมือสื่อสารการตลาดรูปแบบต่าง    เพื่อเลือกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 

บทบาทของการสื่อสารการตลาด
                   บทบาทสำคัญของการสื่อสารการตลาดในยุคปัจจุบันสำคัญอย่างยิ่ง   เนื่องจากธุรกิจมีการแข่งขันสูงมาก  และพยายามที่จะใช้การสื่อสารการตลาด  ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตราสินค้าของตนเองไปสู่ผู้บริโภคซึ่งเป็นเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง   ซึ่งพอสรุปบทบาทของการสื่อสารการตลาดได้   7   ประเภทดังนี้
1.     เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในสินค้าและบริการ
2.     เพื่อย้ำเตือนความทรงจำกับเป้าหมายผู้บริโภค
3.     เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารให้เป้าหมายผู้บริโภคทราบ
4.     เพื่อโน้มน้าวใจให้กลุ่มเป้าหมายตอบสนองในแนวทางที่องค์กรต้องการ
5.     เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อตราสินค้าหรือองค์กรให้เกิดขึ้นในใจของเป้าหมายผู้บริโภค
6.     เพื่อกระตุ้นให้เป้าหมายผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการขององค์กร
7.     เพื่อทำให้เกิดพฤติกรรมการซื้อซ้ำหรือสร้างความภักดีในสินค้าและบริการขององค์กร
                จากบทบาทของการสื่อสารการตลาดนั้นมีหลายประการ   ไม่ว่าจะเป็นการบอกให้ทราบ   การสร้างความแตกต่างระหว่างตราสินค้า  การย้ำเตือนความทรงจำ   การสร้างทัศนคติ  การโน้มน้าวใจ   ตลอดจนถึงการกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้า   ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งทางการตลาดได้ในที่สุดนั่นเอง

กระบวนการสื่อสารการตลาด
              กระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในลักษณะของการสื่อสารของการะบวนการมีองค์ประกอบหลัก   4  ส่วน  คือ   ผู้ส่งสาร   (Source/Sender)    สาร  (Message)   สื่อ   (Channel)  และผู้รับสาร  (Receiver)
                    กระบวนการสื่อสารการตลาดเริ่มจากการส่งสารและทำการเข้ารหัสซึ่งเป็นขั้นตอนที่นำความคิดแปลออกมาให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่ผู้รับสารเข้าใจ  ซึ่งเมื่อสารถูกส่งออกไปผ่านสื่อ  ซึ่งหมายถึงช่องทางที่นำสารนั้นไปถึงผู้รับสาร  ผู้รับสารก็จะทำการถอดรหัส  ซึ่งเป็นการตีความหมายของสารในรูปของความคิดหรือการรับรู้ต่อข่าวสารนั้น     และผู้รับสารจะส่งปฏิกิริยากลับมายังผู้ส่งสารเป็นกระบวนการในลักษณะอย่างต่อเนื่อง   อาจเกิดอุปสรรคหรือสิ่งรบกวนขึ้นได้ในทุกองค์ประกอบทั้งจากผู้ส่งสาร    สาร   สื่อ  เช่น  ผู้ส่งสารไม่มีทักษะการสื่อสาร  สารนั้นเข้าใจยาก   สื่อที่ใช้ไม่สามารถเข้าถึงเป้าหมายผู้บริโภค  หรือผู้รับสารไม่มีความรู้ในเรื่องทำการสื่อสาร    เป็นต้น     ในการสื่อสารแต่ละครั้งจำเป็นที่ต้องพยายามลดอุปสรรคของการสื่อสารให้น้อยที่สุด   เพื่อให้การสื่อสารนั้นมีประสิทธิภาพ  สามารถนำมาประยุกต์เป็นแบบจำลองกระบวนการของการสื่อสารการตลาดได้

ความสัมพันธ์กับศาสตร์สาขาต่าง      ที่เกี่ยวข้อง
                      การสื่อสารการตลาดนับเป็นศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับไม่ว่าจะเป็นการตลาด   พฤติกรรมผู้บริโภค   ตลอดจนสังคมและเศรษฐกิจ   โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
                    ความสัมพันธ์ของการสื่อสารการตลาดกับการตลาด        เป็นกิจกรรมส่วนประกอบสำคัญของการตลาด   เป็นกลยุทธ์ที่มีหน้าที่ในการถ่ายทอดข่าวสารทางการตลาดไปสู่ผู้บริโภคตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้   การสื่อสารการตลาดกับการตลาดจึงเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกันอย่างมาก    การตลาดประกอบไปด้วยการดำเนินงานใน   4   ด้าน   ซึ่งนิยมเรียกว่า  “ส่วนประสมทางการตลาด”   ได้แก่  ผลิตภัณฑ์   ลักษณะ  รูปแบบ  ตราสินค้า  บรรจุภัณฑ์และการให้บริการ   ราคา  การกำหนดราคา  ส่วนลด  ระยะเวลาและเงื่อนไขการชำระเงิน   ช่องทางการจัดจำหน่าย   การขนส่ง  การกระจายสินค้า  และการควบคุมสินค้าคงเหลือ   การส่งเสริมการตลาด   การใช้เครื่องมือการสื่อสารการตลาดต่าง       การโฆษณา   การส่งเสริมการขาย  การประชาสัมพันธ์   เป็นต้น    การสื่อสารการตลาดมีความหมายที่กว้างและเพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในการตลาดมากยิ่งขึ้นขอนำความหมาย   ปรัชญา  และแนวคิดการดำเนินงานทางการตลาด  ตลอดจนหลักส่วนประสมทางการตลาดดังนี้
-       ความหมายของการตลาด    กิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมดที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคเพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจระหว่างกัน  ภายใต้กระบวนการแลกเปลี่ยน
-       ปรัชญาและแนวคิดการดำเนินงานทางการตลาด      นักสื่อสารมีความจำเป็นต้องเข้าใจปรัชญาและแนวคิดการดำเนินงานทางการตลาดในยุคต่าง    ตามลำดับดังนี้
1.     ยุคที่มุ่งเน้นการผลิต
2.     ยุคที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์
3.     ยุคที่มุ่งเน้นการขาย
4.     ยุคที่มุ่งเน้นตลาด
5.     ยุคที่มุ่งเน้นการตลาดเชิงสังคม
-       ส่วนประสมทางการตลาด      ถือเป็นกลยุทธ์หลักที่สำคัญหรือที่นิยมเรียกว่า    Marketing   Mix    ชุดเครื่องมือทางการตลาดที่องค์กรใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรกับตลาดเป้าหมาย   มี  4   องค์ประกอบ  ได้แก่   ผลิตภัณฑ์   ราคา   ช่องทางการจัดจำหน่าย  และการส่งเสริมการตลาด   รายละเอียดังนี้
1.     ผลิตภัณฑ์      สิ่งที่นำเสนอแก่ตลาด   เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด  รวมถึงสิ่งที่จับต้องได้และไม่ได้   รวมถึง  รูปแบบของสินค้า  สไตล์  ตราสินค้า  บรรจุภัณฑ์   และการบริการ
2.     ราคา      เงินหรือข้อพิจารณาอื่น    ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนความเป็นเจ้าของหรือการใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการ     นักการตลาดจำเป็นต้องพิจารณาถึงนโยบายในการตั้งราคาว่าบริษัทมีนโยบายในการกำหนดราคาไว้อย่างไร  โดยทั่วไปมีอยู่   4  ประการ  เพื่อความอยู่รอดขององค์กร    เพื่อมุ่งผลกำไรสูงสุด   เพื่อการมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด   เพื่อการเป็นผู้นำด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์    จากการพิจารณานโยบายการกำหนดราคาของบริษัทแล้ว  จึงควรเลือกวิธีการกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์  ซึ่งมี   3  วิธี  หรือเรียกว่า     3  C”   คือ  ยึดตามต้นทุน   ยึดตามความต้องการของลูกค้า   และยึดตามราคาของคู่แข่ง
3.     ช่องทางการจัดจำหน่าย      บุคคลหรือองค์กรที่เคลื่อนย้ายสินค้าและผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค   การเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายสามารถแบ่งออกเป็น  2  โครงสร้างตามประเภทของสินค้า  คือ   ช่องทางการจัดจำหน่ายของสินค้าเพื่อผู้บริโภค  และ  ช่องทางการจัดจำหน่างของสินค้าอุตสาหกรรม
4.     การส่งเสริมการตลาด     องค์ประกอบที่สำคัญของส่วนประสมทางการตลาด   โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ธุรกิจมีการแข่งขันกันสูงมาก   สินค้าและบริการต่าง     จะต้องมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค   รวมไปถึงมีการตั้งราคา   และมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ   สินค้าและบริการนั้นย่อมที่จะต้องมีการดำเนินการส่งเสริมการตลาดที่มีประสิทธิภาพร่วมด้วย  เพื่อให้กิจกรรมทางการตลาดนั้นประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้     แต่ละธุรกิจต่างพยายามที่จะใช้การสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตราสินค้าสู่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง   เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในสินค้าและบริการ   เพื่อเตือนย้ำความจำกับเป้าหมายผู้บริโภค    เพื่อกล่าวให้ทราบ    เพื่อโน้มน้าวใจให้กลุ่มเป้าหมายคิดหรือแสดงออกในแนวทางที่องค์กรต้องการ
                    ความสัมพันธ์ของการสื่อสารการตลาดกับพฤติกรรมผู้บริโภค        นักสื่อสารการตลาดจะต้องทำความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นพื้นฐาน    เพื่อที่จะได้ออกแบบกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ    นักการสื่อสารการตลาดต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้พฤติกรรมของผู้บริโภคคืออะไร  ได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยใดบ้าง  และการบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคนั้นมีขั้นตอนอย่างไร   รายละเอียดดังนี้
-       ความหมายของพฤติกรรมผู้บริโภค       อาจกล่าวได้ว่าพฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับการให้ได้มา  การบริโภค  และการกำจัดทิ้งซึ่งสินค้าและบริการ   โดยที่พฤติกรรมเหล่านี้มิได้หมายถึงกิจกรรมที่แสดงออกทางร่างกายเท่านั้น   แต่ยังหมายรวมถึงกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผู้บริโภคด้วย
-       ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค     มีปัจจัยหลายประการที่สามารถส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค  ซึ่งสรุปได้เป็น   2   ปัจจัยคือ  
1.     ปัจจัยภายใน     หมายถึง  แรงจูงใจ   การรับรู้   การเรียนรู้   ทัศนคติ    บุคลิกภาพ  และรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค  อาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
2.     ปัจจัยภายนอก  ได้แก่  ครอบครัว  กลุ่มอ้างอิง  วัฒนธรรม  และชนชั้นทางสังคมที่ล้วนมีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้เป็นอย่างมาก    
                             ดังนั้นนักการสื่อสารการตลาดจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลักทั้งสองที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเพื่อที่จะนำมาวางแผนกลยุทธ์ทางการโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
-       กระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค       นักการสื่อสารการตลาดต้องศึกษาให้เข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้นเพื่อจะนำไปสู่การวางแผนการสื่อสารการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ในปัจจุบันได้มีนักวิชาการได้แบ่งกระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคออกเป็น  5  ขั้นตอนดังนี้คือ   
1.     การตระหนักถึงปัญหา    
2.     การแสวงหาข้อมูล  
3.      การประเมินทางเลือก  
4.     การตัดสินใจซื้อ  
5.      พฤติกรรมหลังการซื้อ
                  ความสัมพันธ์ของการสื่อสารการตลาดกับสังคมและเศรษฐกิจ        เป็นกระบวนการสื่อสารในสังคมที่มีลักษณะเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข่าวสารของสินค้าและบริการ   เป็นเครื่องมือสำคัญในการแจ้งข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวทางสังคม  ตลอดจนเฝ้าระวังภัยต่าง      ที่จะเกิดขึ้นในสังคม และให้คนในสังคมได้รับทราบและหาทางป้องกันแก้ไข  เพื่อให้เป็นไปในแนวทางที่พึงปรารถนา     เช่น    การนำการสื่อสารการตลาดมาใช้เพื่อสังคมเพื่อรณรงค์ลดพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพในด้านต่าง     เป็นต้น

บทสรุป
การสื่อสารการตลาด   (Marketing   Communications)
                        การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดรูปแบบต่าง    เพื่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารของผลิตภัณฑ์และองค์กร   ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายต่าง    เกิดการตอบสนองตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้   รูปแบบหรือเครื่องมือทางการสื่อสารการตลาดพื้นฐานที่สำคัญที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมีมากมาย  ได้แก่   การโฆษณา   การประชาสัมพันธ์   การส่งเสริมการขาย  การตลาดทางตรง  และการใช้พนักงานขาย  เรียกเครื่องมือการสื่อสารการตลาดเหล่านี้ว่า  “ส่วนประสมทางการส่งเสริมการตลาด”   ในปัจจุบันยังมีการใช้เครื่องมือการสื่อสารการตลาดรูปแบบต่าง    อีกมากมาย ได้แก่   การตลาดเชิงกิจกรรม   การตลาดออนไลน์   และการเป็นผู้สนับสนุน  เป็นต้น   บทบาทของการสื่อสารการตลาดนั้นมีหลายประการ  ไม่ว่าจะเป็นเพียงการบอกให้ทราบ   การสร้างความแตกต่างระหว่างตราสินค้า   การย้ำเตือนความทรงจำของผู้บริโภค   การสร้างทัศนคติที่ดีต่อตราสินค้า   การโน้มน้าวใจ  ตลอดจนไปถึงการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการซื้อสินค้า   ซึ่งย่อมจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของยอดขายและส่วนแบ่งทางการตลาดได้
                       กระบวนการสื่อสารการตลาดเกิดจากองค์กรผู้ผลิตสินค้าและบริการทำการส่งข้อมูลข่าวสารทางการตลาด   ไปยังกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค  และเมื่อผู้บริโภคได้รับข่าวสารทางการตลาดแล้วก็จะส่งปฏิกิริยาตอบกลับมาในรูปแบบของการตอบสนองต่าง     ในระหว่างกระบวนการกำลังดำเนินอยู่นั้น  อาจมีสิ่งรบกวนการสื่อสารขึ้นได้ในทุกองค์ประกอบ  จึงจำเป็นต้องตรวจสอบและประเมินสิ่งรบกวนเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ   เพื่อจะได้จัดการแก้ไขให้ลดน้อยลงและหายไปในที่สุด   เพื่อให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด  การสื่อสารนับว่าเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับศาสตร์สาขาต่าง     ไม่ว่าจะเป็นการตลาด  พฤติกรรมผู้บริโภค  ตลอดจนสังคมและเศรษฐกิจ






การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน
วัตถุประสงค์
1.     เพื่อให้เข้าใจความหมายของการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน
2.     เพื่อให้เข้าใจปัจจัยที่ทำให้การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
3.     เพื่อให้เข้าใจลักษณะสำคัญของการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน
4.     เพื่อให้รู้จักและเข้าใจเครื่องมือสำคัญของการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน

ความหมายของการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน
                     นักวิชาการต่างประเทศได้ให้คำจำกัดความว่า   การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานนั้นเป็นแนวคิดของการนำเครื่องมือการสื่อสารการตลาดหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา   การตลาดทางตรง  การส่งเสริมการขาย  การใช้พนักงานขาย  การประชาสัมพันธ์  หรือเครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทต่าง    มาผสมผสานกันอย่างเหมาะสม  โดยการส่งข้อมูลข่าวสารที่มีความชัดเจนและสอดคล้องสัมพันธ์กันเพื่อมุ่งสร้างผลกระทบสูงสุดต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าของกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายในที่สุด
                     ปัจจัยที่ทำให้การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบันมีหลายสาเหตุได้แก่
1.     เกิดจากความเชื่อถือในสื่อมวลชนลดลง    ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุ  โทรทัศน์  หนังสือพิมพ์   หรือนิตยสารมีราคาสูงมากขึ้นตามกลไกตลาด  แต่กลับมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงและดึงดูดความสนใจแก่ผู้บริโภคลดลง  เกิดจากการกระจุกตัวของสื่อที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้ผลิตสินค้าและบริการต่าง    ในสื่อดังกล่าวนั่นเอง
2.     บริษัทลูกค้า       ต้องการความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นจากบริษัทตัวแทนโฆษณา   ในยุคปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนการให้บริการเป็นการให้บริการด้านการสื่อสารการตลาดครบวงจรไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์   การตลาดทางตรง   การส่งเสริมการขาย  หรือแม้กระทั่งการจัดกิจกรรมทางการตลาด  หรือการเป็นผู้ซื้อสสื่อเอง  เป็นต้น
3.     ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี     เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว   เช่น  การเกิดขึ้นของการตลาดทางตรงที่มีการใช้ฐานข้อมูลลูกค้า   การใช้สื่อทางอินเทอร์เน็ต  ซึ่งนับว่าเป็นสื่อสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
4.     อำนาจของผู้ค้าปลีกมีสูงขึ้น    จึงทำให้เกิดรูปแบบการสื่อสารที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้น   ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหน้าร้านที่สวยงาม   หรือการจัดวางสื่อ    จุดซื้อหรือจุดขาย  ตลอดจนกิจกรรมการตลาดต่าง     ที่ผู้ค้าปลีกนำมาใช้ในการกระตุ้นผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้นนั่นเอง
5.     มีการรวมตัวกันของบริษัทตัวแทนโฆษณาต่าง    เพิ่มขึ้น   ผลของการรวมตัวครั้งนี้จึงทำให้บริษัทมีการให้บริการรูปแบบต่าง    ได้อย่างหลากหลายทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดียิ่งขึ้น

ลักษณะสำคัญของการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน
                      Sirgy  (1998)   ได้แบ่งออกเป็น  2  ประการ  ถึงลักษณะสำคัญของการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน  ดังนี้คือ
                     ประการแรก      ต้องมีลักษณะความต่อเนื่อง   ข้อความทั้งหมดที่สื่อสารออกไปผ่านเครื่องมือการสื่อสารจะต้องมีความสัมพันธ์กัน  ความต่อเนื่องนี้จะต้องมีทั้งความต่อเนื่องทางกายภาพ  การใช้องค์ประกอบของชิ้นงานสร้างสรรค์  ได้แก่  คำขวัญ  หรือข้อความโฆษณา  จะต้องมีลักษณะเดียวกันและจะต้องมีความต่อเนื่องจากจิตวิทยา  ภาพลักษณ์หรือน้ำเสียง  ของการนำเสนอในโฆษณาทุกชิ้นจะต้องสอดคล้องและมีลักษณะสัมพันธ์กันเพื่อสร้างผลกระทบทางการสื่อสารทำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำได้ง่าย
                   ประการที่สอง        จะต้องคำนึงถึงเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของบริษัทด้วย   ในการนำเสนอจะไม่ใช่การเน้นย้ำเฉพาะส่วนของความคิดสร้างสรรค์เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคสนใจแต่เพียงอย่างเดียว   แต่จะต้องสามารถบรรลุเป้าหมายทางกลยุทธ์ได้แก่   ยอดขาย   ส่วนครองตลาด  และกำไรที่บริษัทได้กำหนดไว้ด้วยกันเช่นกัน
                  นอกจากนี้  Wood  (1997)    ได้กล่าว  การใช้การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานในการส่งข่าวสารต่าง ๆ ของบริษัท   โดยผ่านทางเครื่องมือการสื่อสารต่าง    ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา  การตลาดทางตรง  การประชาสัมพันธ์  และการส่งเสริมการขายนั้น   จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของบริษัท  และช่วยสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริโภคกับบริษัทอีกด้วย



เครื่องมือที่สำคัญของการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน
                           การนำเครื่องมือการสื่อสารการตลาดหลากหลายรูปแบบมาใช้ร่วมกันเพื่อสร้างผลกระทบทางการสื่อสารสูงสุดต่อผู้บริโภคเป้าหมาย   นักการตลาดจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจคุณลักษณะของแต่ละเครื่องมือการสื่อสารอย่างถ่องแท้และเลือกใช้เครื่องมือการสื่อสารต่าง      อย่างเหมาะสมเพื่อให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่ได้ตั้งใจไว้  ซึ่งเครื่องมือที่สำคัญมี   5  รูปแบบได้แก่
1.     การโฆษณา
2.     การประชาสัมพันธ์
3.     การส่งเสริมการขาย
4.     การตลาดทางตรง
5.     การใช้พนักงานขาย
                การโฆษณา       รูปแบบของการนำเสนอโดยผ่านสื่อที่ไม่ใช่ตัวบุคคล   การนำเสนอนี้เป็นการส่งเสริม  เผยแพร่ความคิดเป็น  สินค้า  หรือบริการต่าง    นับเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสื่อสารการตลาด    การโฆษณามีบทบาทต่อตัวสินค้าและบริการมาเป็นระยะเวลานานแล้ว  และมีคุณสมบัติในการที่จะเข้าถึงผู้บริโภคเป็นจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ   เป็นการสร้างความคุ้นเคยระหว่างผู้บริโภคกับตราสินค้า  โดยสร้างการตระหนักรู้   การสื่อสารถึงประโยชน์ที่สำคัญของสินค้า  ส่งเสริมการทดลองใช้   และยังสนับสนุนให้ผู้บริโภคเกิดพฤติกรรมการซื้อสินค้าหรือบริการได้อย่างดีอีกด้วย   และสาเหตุที่มีการใช้การโฆษณากันอย่างแพร่หลายในธุรกิจนั้น   เนื่องจากเป็นเครื่องมือการสื่อสารที่มีความสำคัญและเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคสามารถเห็นได้ง่าย   และสร้างผลกระทบทางการสื่อสารได้ค่อนข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือสื่อสารประเภทอื่น 
                 การประชาสัมพันธ์         การสื่อสารรูปแบบหนึ่งเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ  และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง    อันจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   การประชาสัมพันธ์นับว่ามีบทบาทหลายประการดังนี้
1.     เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานและกิจกรรมต่าง    ของธุรกิจ
2.     เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรและประชาชนกลุ่มต่าง        ที่เกี่ยวข้อง
3.     เพื่อสร้างความนิยมเลื่อมใสและสร้างความศรัทธาจากประชาชน
4.     เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ตราสินค้าและธุรกิจ
5.     เพื่อเสริมสร้างความเจริญและความมั่นคงให้แก่ธุรกิจในระยะยาว
                การส่งเสริมการขาย          รูปแบบการสื่อสารต่าง     เพื่อการโน้มน้าวใจให้ผู้บริโภค  คนกลาง  หรือพนักงานขาย  เกิดการตอบสนองในการตัดสินใจซื้อ  สนับสนุน  หรือส่งเสริมการขายสินค้าและบริการในระยะเวลาอันสั้น  การส่งเสริมการขายมีวัตถุประสงค์หลายประการคือ
1.     เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองซื้อหรือซื้อซ้ำ
2.     เพื่อให้ผู้บริโภคเพิ่มปริมาณการบริโภคตราสินค้ามากยิ่งขึ้น
3.     เพื่อรักษาส่วนครองตลาดของลูกค้าในปัจจุบัน
4.     เพื่อเจาะตลาดลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น   และ
5.     เป็นการสนับสนุนการโฆษณาและความพยายามทางการตลาดให้เป็นไปตามความมุ่งหมาย
              การส่งเสริมการขายสามารถแบ่งออกเป็น    3   ประเภทตามกลุ่มเป้าหมายดังนี้
1.     การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่ผู้บริโภค
2.     การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่คนกลาง
3.     การส่งเสริมการขายมุ่งสู่พนักงานขาย
                     การส่งเสริมการชายแม้จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว   แต่ถ้ามีการใช้มากจนเกินไปอาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี  เช่น  หากมีการลดราคาเป็นประจำ  จะทำให้สินค้านั้นสูญเสียภาพลักษณ์   หรือมีการใช้ของแถมมากเกินไป ในช่วงแรกอาจจะดีเป็นการดึงลูกค้าแต่ใช้ต่อไปอาจทำให้ลูกไม่สนใจ  ประเด็นสำคัญ  การใช้การส่งเสริมการขายมากจนเกินไปจะนำไปสู่หลุมพรางของการส่งเสริมการขายได้     แต่ปัญหาหลุมพรางของการส่งเสริมการขายจะเกิดขึ้นเมื่อทั้งบริษัทและคู่แข่งขันจำนวนมากต่างก็หันมาใช้การส่งเสริมการขายกันอย่างหนักเพื่อแข่งขันจำนวนมากก็หันมาใช้การส่งเสริมการขายกันเพื่อดึงส่วนตลาดมาเป็นของตนเองผลคือจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดของแต่ละบริษัทคงที่  และผลกำไรโดยรวมลดลง  เพื่อให้เกิดผลดีมีประสิทธิภาพ  นักสื่อสารการตลาดจำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาวด้วยเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อตราสินค้า   และไม่เป็นสาเหตุที่จะนำไปสู่การส่งเสริมการขาย  หรือราคาที่ไม่มีผู้ใดได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

                   การตลาดทางตรง        เป็นการสื่อสารการตลาดสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   จากสภาพแวดล้อมทางการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิม   กลุ่มเป้าหมายถูกแบ่งออกเป็นรายย่อยเพิ่มมากขึ้น   ด้วยเหตุนี้การสื่อสารกับผู้บริโภคในปัจจุบันจึงมีลักษณะเป็นการตลาดแบบหนึ่งต่อหนึ่งเพิ่มมากขึ้น  การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแต่ละรายจึงมีความจำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการและรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ    ในปัจจุบันได้มีการนำฐานข้อมูลมาใช้ในการเก็บข้อมูลของลูกค้ามากเพิ่มขึ้น   เพื่อที่จะได้ทำการสื่อสารไปยังผู้บริโภคโดยตรง  สื่อที่นำมาใช้อาจมีได้หลายลักษณะมาว่าจะเป็นการใช้จดหมายทางตรง  การใช้โทรศัพท์  โทรสาร  การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์  การใช้สื่ออินเทอร์เน็ต  หรืออาจรวมถึงรูปแบบของการโฆษณาตามสื่อต่าง    เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตอบสนองได้อย่างทันที   Roberts   และ  Berger   (1989)    ได้กล่าวถึงลักษณะของการตลาดทางว่ามีองค์ประกอบสำคัญดังนี้
1.     ต้องเป็นระบบที่สามารถโต้ตอบกันได้   นั่นคือการเกิดระบบการสื่อสารสองทางที่มีประสิทธิภาพ
2.     ทำให้ผุ้บริโภคสามารถตอบสนองต่อข่าวสารได้
3.     เป็นการสื่อสารที่สามารถเกิดขึ้นไม่จำกัดสถานที่
4.     สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้   การตลาดทางตรงยังนับว่ามีลักษณะที่แตกต่างจากการตลาดโดยทั่วไป  คือ
1.     เป็นการติดต่อกับลูกค้าประจำหรือลูกค้าผู้มุ่งหวังโดยตรง
2.     การติดต่อสื่อสารมีความเป็นส่วนตัว
3.     เป็นเครื่องมือการสื่อสารที่คู่แข่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย
4.     มีการใช้ฐานข้อมูลของลูกค้า
5.     สามารถวัดผลได้ง่าย
6.     สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนและ
7.     ส่งเสริม  /  สนับสนุนให้ลูกค้าสามารถตอบสนองกลับได้ทันที 
          การตลาดทางตรงสามารถใช้ได้หลายรูปแบบ   ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายและงบประมาณของบริษัทเป็นสำคัญว่าจะเลือกใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือหลายรูปแบบ   แต่สิ่งสำคัญที่การตลาดทางตรงจะประสบผลสำเร็จได้มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ  คือ
-       ระบบฐานข้อมูลผู้บริโภค   ที่ควรจะต้องมีความทันสมัย   ถูกต้องและเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
-       ผู้บริโภค   นักการสื่อสารการตลาดควรจะทำการศึกษากลุ่มเป้าหมายว่ามีทัศนคติและพฤติกรรมต่อการใช้สื่อทางตรงอย่างไร  เพื่อให้การสื่อสารนั้นประสบความสำเร็จและประการสุดท้าย
-       ข่าวสารที่ส่งไป    ควรให้ความสำคัญกับเนื้อหาและรูปแบบในการสื่อสารค่อนข้างมากเนื่องจากภาพลักษณ์ของการใช้สื่อบางชนิด   เช่น  จดหมายทางตรง  หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์  นักการสื่อสารการตลาดควรออกแบบเนื้อหาให้มีความโดดเด่น   น่าสนใจและแตกต่างจากคู่แข่ง
                   การใช้พนักงานขาย         การขายโดยบุคคลหรือขายโดยพนักงานขาย   เป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสารสองทางระหว่างบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง   อาจเป็นการสื่อสารของพนักงานขายกับผู้บริโภค  หรืออาจหมายถึงการให้บริการแก่ผู้บริโภค  และการบอกต่อของผู้บริโภค  แต่ที่สำคัญการสื่อสารนั้นจะต้องมีผลโดยตรงต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค      การขายโดยใช้พนักงานขาย   นับเป็นเครื่องมือการสื่อสารการตลาดรูปแบบหนึ่งที่มีประโยชน์มากในยุคปัจจุบัน    แต่ธุรกิจส่วนใหญ่มักจะประสบก็คือการหาพนักงานขายที่มีความรู้ความสามารถนั้นค่อนข้างยาก   หรือที่มีความสามารถมักจะมีค่าตอบแทนสูงจนบริษัทไม่สามารถจ้างได้    ผู้บริหารด้านการสื่อสารการตลาดควรจัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถทางการขายให้กับพนักงานขายที่มีอยู่   ตลอดจนควรมีรางวัล  หรือสิ่งจูงใจต่าง     เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานด้านการขาย   เพื่อให้การขายโดยบุคคลเป็นเครื่องมือการสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   ในปัจจุบันยังมีการใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาดรูปแบบต่าง     อีกมากมายได้แก่   การตลาดเชิงกิจกรรม  การตลาดออนไลน์  และการเป็นผู้สนับสนุน   การสื่อสารด้วยผลิตภัณฑ์  เป็นต้น   เครื่องมือในการสื่อสารจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักและเข้าใจลักษณะของเครื่องมือรูปแบบต่าง    เพื่อที่จะเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

กรณีศึกษาการนำแนวคิดการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานไปปฏิบัติ
                          ในส่วนนี้ขอนำเสนอกรณีศึกษาของตราสินค้าที่มีการนำแนวคิดการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานไปปฏิบัติใช้ให้เกิดผลสำเร็จ  เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเชิงปฏิบัติได้ดียิ่งขึ้น  เรื่องการใช้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดผสมผสานระดับโลกของแม็คโดนัลด์  สามารถโดยสังเขปดังนี้
                          แม็คโดนัลด์เป็นธุรกิจฟาสต์ฟู้ดที่ดำเนินการในรูปแบบของเฟรนไชส์    และเริ่มดำเนินการขยายสาขาไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน   เป็นตราสินค้าที่ประสบความสำเร็จและมีคุณค่าในใจผู้บริโภคมากที่สุด  ได้มีการตั้งเป้าหมายไว้   2  ลักษณะคือ   เป้าหมายทางด้ายยอกขาย   ซึ่งจะเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก   และเป้าหมายด้านภาพลักษณ์ซึ่งจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตัวสินค้าและองค์กร   โดยจะเน้นนโยบายการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม   จะมีการกำหนดนโยบายการสื่อสารหลักโดยยึดหลักอันประกอบด้วย   คุณภาพอาหารที่ดีอย่างสม่ำเสมอ  การบริหารที่รวดเร็วเป็นมิตร  ความสะอาด  และคุณค่าที่มอบให้ลูกค้า  โดยทางสำนักงานใหญ่จะเป็นผู้กำหนดนโยบายหลักและมาตรฐานการปฏิบัติงานให้อิสระกับเจ้าของสาขาในการตัดสินใจว่าจะมีการติดต่อสื่อสารกัน   โดยทางสำนักงานใหญ่มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและมีการประชุมเป็นประจำทุกปีเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และวิเคราะห์ผลการดำเนินงานร่วมกัน   โดยให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตลาดในส่วนประสมทางการตลาดทุกส่วน  ได้แก่   ผลิตภัณฑ์  ราคา  ช่องทางการจัดจำหน่าย  และการส่งเสริมการตลาด  ล้วนมีบทบาทในการสื่อสารตราสินค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น

บทสรุป
                   การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานเป็นแนวคิดของการนำเครื่องมือการสื่อสารการตลาดหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา   การตลาดทางตรง   การส่งเสริมการขาย  การใช้พนักงานขาย   การประชาสัมพันธ์  หรือเครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทต่าง    มาผสมผสานกันอย่างเหมาะสม    การส่งข้อมูลข่าวสารมีความชัดเจนและสอดคล้องสัมพันธ์กันเพื่อมุ่งสร้างผลกระทบสูงสุดต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าของกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายในที่สุด    ปัจจัยที่ทำให้การสื่อสารทางการตลาดแบบผสมผสานเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบันมีหลายสาเหตุ   ได้แก่   จากความเชื่อถือในสื่อมวลชนลดลง     บริษัทลูกค้าต้องการความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นจากบริษัทตัวแทนโฆษณา   ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี   อำนาจของผู้ค้าปลีกมีสูงขึ้น  และ  มีการรวมตัวกันของบริษัทตัวแทนโฆษณาต่าง    เพิ่มขึ้น   บริษัทมีการให้บริการรูปแบบต่าง    อย่างหลากหลายทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดียิ่งขึ้น    
                 เครื่องมือการสื่อสารทางการตลาดที่สำคัญมี   5  รูปแบบได้แก่    การโฆษณา   การประชาสัมพันธ์   การส่งเสริมการขาย   การตลาดทางตรง  และการใช้พนักงานขาย    ในปัจจุบันยังมีการใช้เครื่องมือการสื่อสารการตลาดรูปแบบต่าง    อีกมากมาย   ได้แก่   การตลาดเชิงกิจกรรม    การตลาดออนไลน์  และการเป็นผู้สนับสนุน   การสื่อสารด้านผลิตภัณฑ์  เป็นต้น  เครื่องมือการสื่อสารการตลาดแต่ละประเภทต่างมีจุดแข็งและข้อจำกัด  ตลอดจนวัตถุประสงค์ของการใช้ที่แตกต่างกันออกไป  จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักลักษณะของเครื่องมือสื่อสารการตลาดรูปแบบต่าง    เพื่อที่จะเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
                  


ทฤษฏีการสื่อสาร
วัตถุประสงค์
1.     เพื่อให้เข้าใจความหมายของการสื่อสาร
2.     เพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร
3.     เพื่อให้ได้รู้จักและเข้าใจในแบบจำลองทางการสื่อสารต่าง    และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสื่อสารการตลาดได้
4.     เพื่อให้ได้เข้าใจกระบวนการสื่อสารตราสินค้า
นักสื่อสารการตลาดนอกจากจะต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านการตลาดอย่างลึกซึ้ง  ยังจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในทฤษฏีการสื่อสารด้วย   เพื่อให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   จึงนำเสนอทฤษฏีการสื่อสารซึ่งประกอบด้วย   ความหมายของการสื่อสาร    วัตถุประสงค์การสื่อสาร   แบบจำลองการสื่อสาร   และกระบวนการสื่อสารตราสินค้า  ดังนี้
ความหมายของการสื่อสาร
                      การสื่อสาร   (Communication)       เป็นกระบวนการส่งข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายหนึ่งที่เป็นผู้ส่งสารไปยังอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นผู้รับสาร    โดยผ่านสื่อ   ทั้งนี้ข้อมูลข่าวสารที่ส่งนั้นจะต้องเป็นที่เข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร   สามารถแบ่งองค์ประกอบของการสื่อสารออกเป็น   4  องค์ประกอบได้แก่    ผู้ส่งสาร   สาร   สื่อ   ผู้รับสาร     โดยเริ่มจากผู้ส่งสารจะทำการเข้ารหัสซึ่งเป็นขั้นตอนที่เราจะนำเอาความคิดแปลออกมาให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่ผู้รับสารสามารถเข้าใจได้ซึ่งกระบวนการเข้ารหัสนี้เองจะนำไปสู่สาร  ที่จะส่งออกไป  เมื่อสารถูกส่งออกไปผ่านสื่อ  ซึ่งหมายถึงช่องทางที่นำพาสารนั้นไปถึงผู้รับสารแล้ว   ผู้รับสาร   ก็จะทำการถอดรหัส   ซึ่งเป็นการตีความหมายของสารในรูปของความคิดหรือการรับรู้ที่มีต่อข่าวสารนั้น    ผู้รับสารจะส่งปฏิกิริยาตอบกลับมายังผู้ส่งสารได้เป็นกระบวนการในลักษณะอย่างต่อเนื่อง    ในการสื่อสารแต่ละครั้งผู้ที่ทำการสื่อสารจำเป็นที่จะต้องพยายามลดอุปสรรคของการสื่อสารให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร
                    การสื่อสารมีวัตถุประสงค์หลายประการซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1.     เพื่อแจ้งให้ทราบ
2.     เพื่อให้การศึกษา  ความรู้  ความเข้าใจ
3.     เพื่อโน้มน้าวใจ
4.     เพื่อสร้างความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ
                  วัตถุประสงค์จะเป็นการมองจากผู้ส่งสารเป็นหลัก   ซึ่งหากมาพิจารณาในด้านของผู้รับสารแล้วจะสามารถสรุปวัตถุประสงค์ได้ดังนี้
1.     เพื่อทราบข้อมูลข่าวสาร
2.     เพื่อทำการศึกษาหาความรู้
3.     เพื่อการกระทำหรือการตัดสินใจ
4.     เพื่อหาความพึงพอใจ
                 ดังนั้นผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างมีวัตถุประสงค์ของการสื่อสารที่แตกต่างกัน   สิ่งสำคัญคือในการสื่อสาร   ผู้ส่งสารจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจผู้รับสารว่าในขณะนั้นผู้รับสารมีความต้องการอย่างไร    เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับความต้องการของผู้รับสาร   เพื่อช่วยให้การสื่อสารประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้วไว้

แบบจำลองทางการสื่อสาร
                     ทฤษฏีหรือตัวแทนทฤษฏีที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการสื่อสารแห่งความเป็นจริง   มีหน้าที่สำคัญในการจัดระเบียบและเชื่อมข้อมูลต่าง    เข้าด้วยกัน  ให้เห็นถึงผลของความเกี่ยวข้องกัน  และสามารถใช้เป็นเครื่องมือที่ให้เห็นภาพรวมของระบบสื่อสารที่ซับซ้อนให้เกิดความเข้าใจได้โดยง่าย  แบบจำลองทางการสื่อสารที่นักสื่อสารควรทราบมีดังนี้
1.     แบบจำลองการสื่อสารของอริสโตเติล
2.     แบบจำลองการสื่อสารของแชนนอนและวีเวอร์
3.     แบบจำลองการสื่อสารของลาสเวลล์
4.     แบบจำลองการสื่อสารของชแรมม์
5.     แบบจำลองการสื่อสารของเบอร์โล
6.     แบบจำลองไอดา
7.     แบบจำลองลำดับชั้นของผลกระทบ
8.     แบบจำลองการยอมรับนวัตกรรม
9.     แบบจำลองการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร
                    แบบจำลองต่าง    จะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกัน  และเป็นไปตามขั้นตอนการตอบสนองพื้นฐาน  3  ขั้นตอนของผู้บริโภค     ดังนี้
1.     ขั้นการรับรู้   (The   Cognitive   Stage)        ผู้รับสารจะรู้จักหรือรับรู้เกี่ยวกับตราสินค้า ว่ามีอยู่ในตลาด  ตลอดจนมีความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของสินค้า   ในขั้นนี้รวมถึงการเรียกร้องความสนใจ    ขั้นการรู้จัก  และขั้นความรู้   ลำดับขั้นของผลกระทบถึงขั้นความรู้จัก   ขั้นการนำเสนอสาร  ขั้นความใส่ใจและขั้นความเข้าใจ 
2.     ขั้นการเกิดทัศนคติ       เป็นขั้นของความรู้สึกของผู้บริโภคจะชอบหรือไม่ชอบตราสินค้าที่ได้โฆษณาออกไปในขั้นนี้รวมถึงขั้นการสร้างความน่าสนใจ  และขั้นการสร้างความปรารถนา   ความชอบ  ความพึงพอใจ  และความเชื่อมั่นที่จะซื้อ  ในแบบจำลองของผลกระทบ  ถึงขั้นความสนใจและขั้นการประเมินผล   ในแบบจำลองการยอมรับนวัตกรรม  ถึงขั้นยอมรับ  และขั้นการจดจำ   ในแบบจำลองการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร
3.     ขั้นแสดงพฤติกรรม   เป็นขั้นที่ผู้บริโภคแสดงพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้า   ถึงขั้นการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการซื้อ    ในแบบจำลองไอดา รวมถึง  การซื้อ  ในแบบจำลองลำดับขั้นของผลกระทบ  รวมถึงขั้นการทดลอง  และขั้นการยอมรับ   ในแบบจำลองการยอมรับนวัตกรรม  และรวมถึงขั้นแสดงพฤติกรรม  ในแบบจำลองการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร

การประยุกต์ใช้แบบจำลองทางการสื่อสารในการสื่อสารการตลาด
                           การศึกษาแบบจำลองการสื่อสารต่าง     มีประโยชน์ในการดำเนินการสื่อสารการตลาดเป็นอย่างมาก    สามารถนำแบบจำลองทางการสื่อสารต่าง    มาประยุกต์ใช้  ดังนี้
1.     ทำให้นักสื่อสารการตลาดสามารถนำไปใช้ในการกำหนดวัตถุประสงค์รวมถึงเครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทต่าง     ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.     ทำให้นักสื่อสารการตลาดสามารถเข้าใจพฤติกรรมการตอบสนองของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น  เมื่อผู้บริโภคเปิดรับสารแล้ว  ผู้บริโภคจะตอบสนองต่อสารนั้นอย่างไรบ้าง
3.     ทำให้นักสื่อสารการตลาดสามารถออกแบบสารได้ตรงกับวัตถุประสงค์การสื่อสารการตลาดมากยิ่งขึ้น   หากมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักตราสินค้า  ก็อาจเลือกใช้รูปแบบของโฆษณาเพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสาร  ขณะเดียวกัน  หากมีเป้าหมายเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีให้กับตราสินค้าหรือองค์กร   ก็อาจเลือกใช้โฆษณาเพื่อสร้างภาพลักษณ์  เป็นต้น
4.     ทำให้นักสื่อสารการตลาดสามารถเลือกใช้สื่อให้สอดคล้องกับการตอบสนองของผูบริโภคได้อย่างเหมาะสม     เช่น  หากมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักตราสินค้า   ก็อาจเลือกใช้การสื่อสารการตลาดในสื่อมวลชนเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างในรูปแบบการโฆษณาเพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสาร อาจเลือกใช้สื่อกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วมได้ดี  หรือใช้โฆษณาในโรงภาพยนตร์  เพราะจะสามารถสร้างอารมณ์ร่วมได้ค่อนข้างมาก  นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้บริโภคได้โดยง่าย  เป็นต้น
5.     ทำให้นักสื่อสารการตลาดวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารและเครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทต่าง    ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   เพราะเป็นการวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดบนพื้นฐานของทฤษฏีและแบบจำลองทางการสื่อสารที่มีนักวิชาการต่าง     ได้ทำการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบและเป็นที่ยอมรับกันในวงการวิชาการมาแล้ว  ทำให้มั่นใจได้ว่าแผนกลยุทธ์การสื่อสารบนพื้นฐานตามหลักวิชาการเหล่านี้ย่อมจะนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การสื่อสารตราสินค้า
                นักสื่อสารการตลาดจะต้องสื่อตราสินค้าไปสู่ผู้บริโภคเป้าหมาย  จึงจำเป็นจะต้องเข้าใจกระบวนการสื่อสารตราสินค้าเพื่อจะได้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทั้งนี้กระบวนการของการสร้างภาพลักษณ์ตราสินค้าให้เข้าไปอยู่ในหัวใจของผู้บริโภคเป้าหมาย   ลักษณะของตราสินค้ามีทั้งความหมายในเชิงของคุณลักษณะที่จับต้องได้  อันได้แก่  การออกแบบ  ประสิทธิภาพการใช้งาน  ส่วนผสม  ส่วนประกอบ  ขนาด  รูปร่าง  ราคา  ช่องทางการจัดจำหน่าย  และเครื่องมือการสื่อสารการตลาดต่าง      และความหมายในเชิงของคุณลักษณะที่จับต้องไม่ได้   ได้แก่   คุณค่า  ภาพลักษณ์ตราสินค้า  ภาพลักษณ์ของร้านค้าที่จำหน่ายตราสินค้า  และการรับรู้ทั้งหมดของผู้บริโภคที่มีต่อตราสินค้านั้น  เป็นต้น    สิ่งเหล่านี้สามารถสื่อสารมายังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งสิ้น   โดยขณะที่กระบวนการสื่อสารตราสินค้าเกิดขึ้น  อาจเกิดอุปสรรคของการสื่อสารได้ทุกขณะ   อุปสรรคของการสื่อสารอาจเกิดขึ้นได้   2   แบบ  คือ
-        อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากกระบวนการสื่อสารของตราสินค้า   เช่น  คุณภาพการพิมพ์โฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ไม่ดีความหมายของภาพในสื่อดูเข้าใจยากจนเกินไป   ไม่มีความน่าเชื่อถือ
-       อุปสรรคที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากกระบวนการสื่อสารของตราสินค้า  เช่น  ข่าวสารของคู่แข่ง   ความรู้สึกพึงพอใจในตราสินค้าของคู่แข่ง  การหลีกเลี่ยงการเปิดรับสารของผู้บริโภค  เป็นต้น
                   นักสื่อสารการตลาดควรพิจารณาจุสัมผัสหรือจุดติดต่อระหว่างตราสินค้ากับผู้บริโภคเป้าหมายด้วย   สามารถแบ่งออกเป็น   4   ประเภทดังนี้
1.     จุดติดต่อที่บริษัทเจ้าของตราสินค้าสร้างขึ้น   วางแผนไว้แล้วเป็นอย่างดีว่าจะต้องส่งไปยังผู้บริโภคเป้าหมาย  ได้แก่  งานโฆษณา  การออกแบบบรรจุภัณฑ์   การแตกแต่งร้านค้าจำหน่าย  เป็นต้น
2.     จุดติดต่อภายใน   การมีปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นขณะกระบวนการซื้อขายสินค้า  เช่น  พนักงานรับคำสั่งซื้อ  พนักงานรับโทรศัพท์     เป็นต้น
3.     จุดติดต่อที่ไม่ได้คาดหวังไว้   จุดที่เจ้าของตราสินค้าไม่ได้คาดหมายเอาไว้  ซึ่งเกินอำนาจการควบคุมของบริษัท  ได้แก่  การบอกต่อ  ข่าวลือ  หรือ  การดำเนินกิจกรรมขององค์กรผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง    เป็นต้น
4.     จุดติดต่อที่ริเริ่มมาจากผู้บริโภคเป้าหมาย   เกิดจากลูกค้าในการสื่อสารมายังบริษัทเจ้าของตราสินค้า   ซึ่งสามารถเกิดจากการที่ลูกค้า  ทำการส่งข่าวสารในรูปของคำถาม  คำชมเชย  หรือคำร้องเรียน  ผ่านสื่อต่าง    ไปยังบริษัทซึ่งถือเป็นผู้รับสารในกระบวนการนี้    เมื่อบริษัทได้รับข่าวสารแล้วก็จะตอบสนองกลับไปยังลูกค้าอย่างทันท่วงที  และยอมรับคำแนะนำต่าง    ไปปรับปรุงแก้ไขให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บทสรุป
                    การสื่อสาร     เป็นกระบวนการในการส่งข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายหนึ่งที่เป็นผู้ส่งสารไปยังอีกฝ่านหนึ่งที่เป็นผู้รับาสามารถแบ่งองค์ประกอบของการสื่อสารออกเป็น   4   องค์ประกอบได้แก่   ผู้ส่งสาร   สาร  สื่อ  ผู้รับสาร   โดยเริ่มจากผู้ส่งสารจะทำการเข้ารหัส  ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เราจะนำเอาความคิดแปลออกมาให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่ผู้รับสารสามารถเข้าใจได้   ซึ่งกระบวนการเข้ารหัสนี้เองจะนำไปสู่สาร   ที่จะส่งออกไป    ซึ่งเมื่อสารถูกส่งออกไปผ่านสื่อ   ผู้รับสารก็จะทำการถอดรหัส  เป็นการตีความของสารในรูปของความคิดหรือการรับรู้ที่มีต่อข่าวสารนั้น  หลังจากนั้นผู้รับสารจะส่งปฏิกิริยาตอบกลับมายังผู้ส่งสารได้เป็นกระบวนการในลักษณะแบบนี้อย่างต่อเนื่อง    กระบวนการสื่อสารอาจมีอุปสรรคหรือสิ่งรบกวน  ในการส่งสารผู้ที่ทำการสื่อสารจำเป็นจะต้องพยายามลดอุปสรรคของการสื่อสารให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพื่อให้การสื่อสารนั้นเกิดประสิทธิภาพ     แบบจำลองการสื่อสารต่าง      ถือว่ามีประโยชน์ในการดำเนินการสื่อสารการตลาดเป็นอย่างมาก   สามารถนำแบบจำลองทางการสื่อสารต่าง    มาประยุกต์ใช้  ได้แก่  ทำให้นักการสื่อสารการตลาดสามารถนำมากำหนดวัตถุประสงค์การสื่อสารรวมถึงเครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทต่าง    ได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ทำให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมการตอบสนองของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น     นักสื่อสารการตลาดสามารถออกแบบสารได้ตรงกับวัตถุประสงค์การสื่อสารการตลาดมากยิ่งขึ้นและทำให้นักสื่อสารการตลาดสามารถเลือกใช้สื่อให้สอดคล้องกับการตอบสนองของผู้บริโภคได้อย่างเหมะสม




พฤติกรรมผู้บริโภค
วัตถุประสงค์
1.     เพื่อให้เข้าใจความหมายของพฤติกรรมผู้บริโภค
2.     เพื่อให้เข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค
3.     เพื่อให้เข้าใจกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค
                      การดำเนินงานการสื่อสารการตลาด   เจ้าของสินค้าและบริการต้องทำการสื่อสารข้อมูลข่าวสารไปยังผู้บริโภค   เพื่อให้ผู้บริโภคเป้าหมายเกิดการตอบสนองตามต้องการ   การศึกษาพฤติกรรมจึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากสำหรับนักสื่อสารการตลาด   ในปัจจุบันธุรกิจใดก็ตามที่ต้องการจะประสบความสำเร็จ  ต้องดำเนินงานบนพื้นฐานความต้องการของผู้บริโภคเป้าหมายเป็นหลักสำคัญ   โดยการทำให้มีความพึงพอใจในสินค้าและบริการของตนให้มากที่สุด    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค   กระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค   และกระบวนการเลือกกลุ่มเป้าหมายการสื่อสารการตลาด  มีรายละเอียดดังนี้

ความหมายของพฤติกรรมผู้บริโภค
                      พฤติกรรมของผู้บริโภค       การแสดงออกของผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับการให้ได้มา   การบริโภครวมถึงการบริการ  และการกำจัดทิ้งซึ่งสินค้าและบริการ    โดยที่พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงกิจกรรมที่แสดงออกทางร่างกายเท่านั้น   แต่ยังรวมถึงกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผู้บริโภคด้วย

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค
                     ปัจจัยที่มีอิทธิพลสามารถแบ่งได้เป็น  2   ปัจจัยหลัก   ได้แก่  ปัจจัยภายใน   ลักษณะทาจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคได้แก่  แรงจูงใจ  การรับรู้   การเรียนรู้  ทัศนคติ  บุคลิกภาพ  และ  รูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค   อาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล   และปัจจัยภายนอก  หรือปัจจัยด้านภาวะแวดล้อม   สภาวะแวดล้อมต่าง    ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค  ได้แก่  ชนชั้นทางสังคม  ครอบครัว  กลุ่มอ้างอิง  และวัฒนธรรม  ที่ล้วนมีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้เป็นอย่างมาก   จึงจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลักทั้งสองประการ  ปัจจัยภายใน  และ  ปัจจัยภายนอก  ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเพื่อที่จะนำมาวางแผนกลยุทธ์ทางการสื่อสารการตลาดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
                     
                   ปัจจัยภายในที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค   มีดังนี้
1.     แรงจูงใจ         พลังผลักดันภายในตัวบุคคล   เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลนั้น  เกิดจากความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองจะนำไปสู่ความเครียด   จะทำให้เกิดพลังผลักดันภายในนำไปสู่พฤติกรรมได้ในที่สุด   โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้  และกระบวนการรับรู้   เมื่อเกิดพฤติกรรมแล้วย่อมได้รับการตอบสนอง  ความเครียดก็จะลดลง  กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ไม่ได้เกิดขึ้นและจบลงเพียงครั้งเดียว  ในความเป็นจริง  คนเราจะมีความต้องการที่ไม่สิ้นสุด  แรงจูงใจต่าง    จึงเกิดขึ้นในลักษณะนี้เป็นวัฏจักรเรื่อยไป     จึงควรเข้าใจทฤษฎีด้านความต้องการของมนุษย์  ลำดับความสำคัญไว้    5    ขั้นตอนดังนี้
-       ความต้องการทางกายภาพ    เป็นความต้องการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต  เช่น  อาหาร  น้ำ  อากาศ   เครื่องนุ่งห่ม   ยารักษาโภค  เป็นต้น
-       ความต้องการความปลอดภัย      เป็นความต้องการความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิต  จิตใจ   และทรัพย์สิน
-       ความต้องการทางสังคม   เป็นความต้องการความรักความผูกพันจากเพื่อนฝูง  ครอบครัว   และบุคคลรอบตัว
-       ความต้องการทางเกียรติยศชื่อเสียง      เป็นความต้องการได้รับการยกย่องจากสังคม  หน้าที่การงานที่ดี  มีเกียรติ   มีชื่อเสียง  และเป็นที่รู้จักในสังคม
-       ความต้องการประจักษ์ในตนเอง        เป็นความต้องขั้นสูงสุดของมนุษย์   เป็นความต้องที่จะต้องประสบความสำเร็จตามที่ตนปรารถนา  เป็นการได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่
2.     การรับรู้       กระบวนการที่บุคคลทำการเลือกสรร  จัดระเบียบ  และการแปลความหมายสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัสทั้งห้า  ออกมาเป็นภาพที่มีความหมายต่อบุคคลนั้นซึ่งอาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของสิ่งเร้าและลักษณะของผู้รับสารด้วยเช่นกัน   กระบวนการรับรู้สามารถแบ่งออกได้เป็น   3  ขั้นตอนคือ      การเลือกสรร     การจัดระเบียบ     การแปลความหมายสิ่งเร้า
3.     การเรียนรู้        การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างถาวรจากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา   หรือเกิดจากการลงมือกระทำจริง   เราไม่สามารถที่จะเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้   หากไม่ได้รับรู้และตีความเกี่ยวกับสิ่งนั้น   กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นนับแต่ช่วงแรกของชีวิตและดำเนินต่อเนื่องมาจนตลอดชีวิตของคนเรา   การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ย่อมจะทำให้สามารถออกแบบสารโฆษณาที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ    ทฤษฏีการเรียนรู้ที่สำคัญแบ่งออกเป็น  2  กลุ่มดังนี้    
-       ทฤษฏีการเรียนรู้เชิงพฤติกรรม
-       ทฤษฏีการเรียนรู้ด้วยความรู้ความเข้าใจ
4.     ทัศนคติ        ความโน้มเอียงทางความรู้สึกในทางบวกหรือทางลบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดจากการเรียนรู้และสามารถนำไปสู่พฤติกรรมของผู้รับสารได้   ซึ่งอาจจะได้รับมาจากประสบการณ์โดยตรงหรือเป็นข้อมูลที่ได้รับมาจากตัวบุคคลอื่น  เช่น  เพื่อนและสมาชิกในครอบครัว   หรืออาจจะมาจากการเปิดรับสารโฆษณาต่าง     เป็นต้น  จากความสำคัญของประสบการณ์ตรงซึ่งนับว่ามีอิทธิพลต่อทัศนคติ  จึงทำให้นักสื่อสารการตลาดพยายามกระตุ้นให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้สินค้าที่ผู้บริโภคยังไม่คุ้นเคยดีพอเพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้บริโภคใช้สินค้า   ซึ่งหากสินค้านั้นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี  ก็มีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะเกิดทัศนคติที่ดีต่อตราสินค้านั้นและนำไปสู่พฤติกรรมการซื้อตราสินค้านั้นซ้ำอีกในอนาคต
5.     บุคลิกภาพ   ลักษณะทางจิตวิทยาที่อยู่ภายในตัวบุคคลซึ่งจะเป็นตัวกำหนดและกระทบถึงวิธีการที่บุคคลแสดงออกต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว  รวมถึงลักษณะที่มองเห็นได้และไม่ได้  ได้แก่  กิริยาท่าทาง  การเดิน  การนั่ง  สี  การพูด  นิสัย  น้ำเสียง  ลักษณะการแสดงออก  อารมณ์  แนวโน้มความผิดปกติทางจิต  การแต่งกาย  และทัศนคติ  เป็นต้น  จิตของมนุษย์สามารถแบ่งออกเป็น  3  ส่วนคือ  สัญชาตญาณพื้นฐาน  จิตสำนึกบุคคล  และมาตรฐานทางจริยธรรมของสังคม   ในการหล่อหลอมให้คนมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไป   สังเกตเห็นได้จากการวัด  ในกลุ่มทฤษฏีนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการสร้างมาตรวัดลักษณะทางบุคลิกภาพเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการวัดบุคลิกภาพของผู้บริโภค  นอกจากนี้นักวิจัยในกลุ่มทฤษฏีนี้มักจะเชื่อว่าคุณลักษณะทางบุคลิกภาพขอผู้บริโภคในแต่ละคุณลักษณะจะส่งผลต่อการใช้สินค้าและบริการที่แตกต่างกันด้วย
6.     รูปแบบการดำเนินชีวิต     การดำเนินกิจกรรมต่าง    ของผู้บริโภคที่แสดงถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคล  นับว่ามีความเกี่ยวข้องกับลักษณะของบุคลิกภาพ   แรงจูงใจ  ครอบครัว  กุล่มอ้างอิง  ชนชั้นทางสังคม  วัฒนธรรมหลัก  และวัฒนธรรมย่อย   นอกจากนี้ยังเป็นลักษณะความเป็นอยู่ที่แสดงถึงการใช้เวลาว่างของแต่ละบุคคล    การให้ความสนใจกับสภาพแวดล้อมรอบตัว   และความคิดเห็นที่มีต่อตัวเองและสิ่งรอบข้าง   นักสื่อสารการตลาดจะนิยมทำการศึกษา  3  ด้าน  คือ   ด้านกิจกรรม    ด้านความสนใจ   และด้านความคิดเห็น     โดยการวัดนั้นจะเป็นการคิดคำบรรยายที่พัฒนาขึ้นจากกิจกรรม  ความสนใจและความคิดเห็นของผู้บริโภค   อาจจะเป็นการบรรยายโดยกว้างหรือเฉพาะเจาะจงก็ได้   โดยให้ผู้บริโภคเลือกตอบในลักษณะมาตรประมาณค่า   ตั้งแต่  เห็นด้วย   เห็นด้วยอย่างยิ่ง  หรือไม่เห็นด้วย  แล้วนำมาทำการวิเคราะห์ปัจจัย  เป็นต้น

กระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
                       นักสื่อสารการตลาดสามารถเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้นนำไปสู่การวางแผนการสื่อสารทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ในปัจจุบันได้แบ่งกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภคออกเป็น   5   ขั้นตอนคือ
1.     การตระหนักถึงปัญหา
2.     การแสวงหาข้อมูล
3.     การประเมินทางเลือก
4.     การตัดสินใจซื้อ
5.     พฤติกรรมหลังการซื้อ
                         การตระหนักถึงปัญหา       สามารถเกิดขึ้นได้หลายแนวทาง  เช่น  อาจจะเกิดจากสินค้าที่ใช้อยู่หมด   หรือการซื้อสินค้าไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจได้   หรือมีความต้องการใหม่    เกิดขึ้น   เป็นต้น   ในสภาวการณ์เช่นนี้   นักสื่อสารการตลาดสามารถใช้ความพยายามที่จะทำให้ผู้บริโภครับรู้ถึงปัญหาได้โดยสร้างความต้องการปฐมภูมิ   เป็นการสร้างความต้องการให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการใช้สินค้าและบริการโดยไม่ได้เจาะจงว่าเป็นตราสินค้าใด  หรืออาจใช้การสร้างความต้องการทุติยภูมิ  คือ  การสร้างความต้องการให้ผู้บริโภคเลือกตราสินค้าของตน   โดยการสื่อสารทางโฆษณาเพื่อโน้มน้าวให้ผู้บริโภคเห็นว่าสินค้าของตนดีกว่าของเจ้าอื่นทำให้ดูแล้วเกิดความต้องการซื้อ  เป็นต้น    แสดงให้เห็นว่านักสื่อสารการตลาดสามารถทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าปัญหาของผู้บริโภคนั้น  สามารถแก้ไขได้ด้วยการเลือกซื้อตราสินค้านี้มากกว่าจะไปใช้ตราสินค้าอื่น
                      การแสวงหาข้อมูล        ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงปัญหาว่าจำเป็นจะต้องซื้อสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตนแล้ว    การค้นหาข้อมูลจะเริ่มต้นจากการค้นหาข้อมูลภายใน  คือความทรงจำระยะยาวในสินค้าและบริการของผู้บริโภคที่มาจากประสบการณ์ในอดีต   ถ้าข้อมูลเหล่านั้นเพียงพอแล้ว   ผู้บริโภคก็ไม่จำเป็นจะต้องแสวงหาข้อมูลจากภายนอก  ได้แก่  การค้นหาข้อมูลสินค้าจากโฆษณา  พนักงานขาย  หรือการสอบถามจากบุคคลรอบข้าง  เช่น  เพื่อน  และหตัดสินใจต่อไป   การแสวงหาข้อมูลของผู้บริโภคนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัย   2    ประการคือ   ความไม่มั่นใจในความรู้ที่ตนเองมีอยู่ของผู้บริโภค  และความไม่มั่นใจในการเลือกซื้อสินค้า   ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ที่นักสื่อสารการตลาดจะต้องสร้างความแตกต่างของตราสินค้าเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเลือกซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                การประเมินทางเลือก       หลังจากที่ผู้บริโภคได้ข้อมูลมาแล้วก็จะทำการประเมินทางเลือกจากพื้นฐานความเชื่อและความรู้ที่ผู้บริโภคมีต่อสินค้า   เพื่อทางเลือกที่เห็นว่ามีความเหมาะสม   โดยพิจารณาจากคุณสมบัติต่าง      ของแต่ละตราสินค้าจากคุณสมบัติที่เห็นว่ามีความสำคัญที่สุดและตรงกับความต้องการของตนมากที่สุด   เมื่อผู้บริโภคมีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจก็จะทำการเปรียบเทียบสินค้า  บริการ  และตราสินค้าต่าง    ซึ่งเป็นตัวเลือกเพื่อที่จะทำการเลือกเอาสิ่งที่มีความเหมาะสมมากที่สุดในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค  สำหรับในการประเมินทางเลือกนี้มีแนวโน้มที่จะใช้ปัจจัย  2   ประการมาประกอบในการพิจารณา  คือ  ข้อมูลเกี่ยวกับตราสินค้าที่อยู่ในความทรงจำของผู้บริโภคที่จะนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อ   และ   เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินตราสินค้าแต่ละตราสินค้า     นักสื่อสารการตลาดจึงต้องพยายามให้ตราสินค้าของตนเข้าไปอยู่ในกลุ่มของสินค้าที่ผู้บริโภคพิจารณาเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีสร้างความผูกพันและการจดจำของตราสินค้าในจิตใจของผู้บริโภคได้  นักสื่อสารการตลาดก็จะต้องทำการแนะนำหรือให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเพื่อจะนำมาใช้ในการประเมิน   โดยที่เกณฑ์เหล่านี้นั้นก็ควรที่จะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือคู่แข่งด้วยเช่นกัน         
                      พฤติกรรมหลังการซื้อ       หลังจากที่ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าแล้ว   ก็จะมีประสบการณ์จากการใช้สินค้านั้น   โดยจะประเมินว่าสินค้านั้นสามารถที่จะตอบสนองความคาดหวังที่ผู้บริโภคต้องการได้หรือไม่   ส่งผลต่อแนวโน้มในการตัดสินใจซื้อสินค้าในครั้งต่อไป   ถ้ามีความพึงพอใจในตราสินค้านั้น   ก็มีแนวโน้มสูงที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าซ้ำอีก  ในทางตรงกันข้ามหากสินค้าไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังและไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภคได้  แนวโน้มในการซื้อสินค้าในครั้งต่อไปก็ย่อมน้อยลงและเปลี่ยนไปซื้อตราสินค้าอื่นแทน   พฤติกรรมหลังการซื้อนี้มีความสำคัญต่อผู้บริโภคคือ  จะช่วยลดความไม่มั่นใจหรือความสงสัยของผู้บริโภคที่อาจเกิดขึ้นได้จากการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว   นักการสื่อสารการตลาดจำเป็นที่ต้องทำการสื่อสารอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจและลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจของผู้บริโภคภายหลังการซื้อสินค้า   ได้แก่  ความกดดันหรือความเครียดซึ่งเกิดขึ้นจากการที่สินค้าไม่สามารถตอบสนองความต้องการหรือไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ได้  หรืออาจจะเกิดจากการที่ผู้บริโภครับรู้ว่ายังมีทางเลือกอื่น    ทีดีกว่า    นักสื่อสารการตลาดจึงควรให้ความสนใจในพฤติกรรมหลังการซื้อของผู้บริโภคเป็นอย่างมากด้วย เนื่องจากกระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในข้างต้นนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักสื่อสารการตลาดสามารถที่จะเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างดียิ่งอันจะช่วยให้สามารถวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุป
             พฤติกรรมผู้บริโภค      การแสดงออกของผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับการให้ได้มาการบริโภค  และการกำจัดทิ้งซึ่งสินค้าและบริการ   พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงกิจกรรมที่แสดงออกทางร่างกายเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผู้บริโภคด้วย   ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคสามารถแบ่งออกได้เป็น   2    ปัจจัยหลัก   ปัจจัยภายใน  คือลักษณะทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค  ได้แก่  แรงจูงใจ  การรับรู้   การเรียนรู้  ทัศนคติ  บุคลิกภาพ  และ  รูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค  มีลักษณะที่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล   และ  ปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยด้านภาวะแวดล้อม  คือ ลักษณะทางสภาวะแวดล้อมต่าง    ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค  ได้แก่  ชนชั้นทางสังคม  ครอบครัว  กลุ่มอ้างอิง  และวัฒนธรรม   ผู้บริโภคที่มีลักษณะของปัจจัยภายในและภายนอกแตกต่างกันย่อมส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคสินค้าและบริการที่แตกต่างกัน   กระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคแบ่งออกเป็น  5  ขั้นตอน  คือ   การตระหนักถึงปัญหา   การแสวงหาข้อมูล   การประเมินทางเลือก   การตัดสินใจซื้อ   และ  พฤติกรรมหลังการซื้อ





การวางแผนการสื่อสารการตลาด
วัตถุประสงค์
1.     เพื่อให้เข้าใจความหมายของการวางแผนการสื่อสารการตลาด
2.     เพื่อให้เข้าใจระดับของการวางแผนการสื่อสารการตลาดในองค์กร
3.     เพื่อให้มีความเข้าใจในกระบวนการวางแผนการสื่อสารการตลาด
                        หัวใจสำคัญของการสื่อสารการตลาดอยู่ที่การวางแผน   การวางแผนการตลาดมีประสิทธิภาพย่อมมีโอกาสที่ตราสินค้านั้นจะประสบความสำเร็จสูงยิ่งขึ้นตามไปด้วย   แนวคิดด้านการวางแผนการสื่อสารการตลาด  ประกอบด้วย  ระดับของการวางแผนการสื่อสารการตลาดในองค์กร   และ  กระบวนการวางแผนการสื่อสารการตลาด  เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ในการวางแผนการสื่อสารการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความหมายของการวางแผนการสื่อสารการตลาด
                   กระบวนการกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสื่อสารการตลาด  ซึ่งเริ่มตั้งแต่  การวิเคราะห์สถานการณ์  การกำหนดกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย  การกำหนดวัตถุประสงค์   การกำหนดกลยุทธ์การสื่อสารการตลาด  การกำหนดงบประมาณและระยะเวลา  และการกำหนดแนวทางการประเมินผลแผนการสื่อสารการตลาด    ควรยึดหลักการวางแผนจากฐานศูนย์   ซึ่งเป็นการวางแผนบนพื้นฐานของเงื่อนไขและสภาวะแวดล้อม    ปัจจุบันเป็นหลักในการพิจารณา   เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้

ระดับของการวางแผนการสื่อสารการตลาดในองค์กร
                      การวางแผนกลยุทธ์ในองค์กรจะประกอบไปด้วยแผน   4   ระดับ  ได้แก่  ระดับวิสัยทัศน์และพันธกิจ   ระดับแผนธุรกิจ    ระดับแผนการตลาด   และระดับแผนการสื่อสารการตลาด   โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.     ระดับวิสัยทัศน์และพันธกิจ     เริ่มจากการกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจ   วิสัยทัศน์เปรียบเหมือนเป้าหมายในระยะยาวว่าบริษัทต้องการจะเติบโตไปในทิศทางใด   ส่วนพันธกิจเปรียบเหมือนบทบาทหน้าที่ภารกิจหลักในปัจจุบันของบริษัทที่จะทำให้สามารถเติบโตไปในทิศทางที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้     เปรียบเป็นเข็มทิศที่คอยชี้ว่าองค์กรควรจะเดินไปในทิศใด   อย่างไร  มีเป้าหมายเพื่ออะไร  ทำให้องค์กรไม่หลงทาง   จึงเป็นแผนแม่บทหลักสำคัญขององค์กร   ซึ่งถือเป็นแผนระดับบนสุดที่แผนต่าง    ขององค์กรจะต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทหลักนี้
2.     ระดับแผนธุรกิจของบริษัท      เป็นแผนการดำเนินงานทางธุรกิจที่จะกำหนดว่าธุรกิจนั้นจะมีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมอย่างไร   เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจที่ได้กำหนดไว้  เป็นส่วนที่บ่งบอกถึงวัตถุประสงค์ทางการเงินของบริษัท  และกลยุทธ์ในการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นั้น  และแผนธุรกิจได้ถูกกำหนดขึ้น   ส่วนของการผลิต  ส่วนของการเงิน  ส่วนของการปฏิบัติการ  ส่วนของงานทรัพยากรบุคคล  และส่วนของการตลาดก็จะต้องพัฒนาแผนงานในส่วนของตนเองขึ้นมาเพื่อสนับสนุนส่งเสริมแผนธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งไว้
3.     ระดับแผนการตลาด    ถือเป็นแผนงานในระดับแผนก   ที่แต่ละแผนกต้องมีการกำหนดวิธีการดำเนินงาน  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งไว้   แผนการตลาดจะประกอบไปด้วย    4   ด้านคือ   ด้านผลิตภัณฑ์  ด้านราคา   ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย   ด้านการส่งเสริมการตลาด  ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์และสนับสนุนสอดคล้องกับแผนธุรกิจ   โดยควรมีองค์ประกอบพื้นฐานได้แก่  การวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร   วัตถุประสงค์ทางการตลาด  กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด  และวิธีการประเมินผลแผนการตลาด
4.     ระดับแผนการสื่อสารการตลาด        จะเป็นแผนงานย่อยที่เป็นส่วนนึ่งของแผนการตลาด   แผนการสื่อสารการตลาดนี้จะเกี่ยวข้องกับการกำหนดเครื่องมือการสื่อสารการตลาด  เพื่อส่งข้อมูลข่าวสารไปสู่ผู้บริโภคเป้าหมาย   เพื่อมุ่งหวังให้ตอบสนองตามวัตถุประสงค์การสื่อสารการตลาดที่พึงปรารถนา   ด้วยเหตุนี้แผนการสื่อสารการตลาดจึงต้องสอดคล้องกับแผนการตลาด   แผนธุรกิจและวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร
                   ทั้งนี้   การวางแผนในแต่ละระดับของการกำหนดกลยุทธ์ในองค์กรส่วนใหญ่มักเป็นการกำหนดในลักษณะจากบนลงล่าง  จะถูกถ่ายทอดลงมายังแผนในระดับแผนธุรกิจ  แผนการตลาด  และแผนการสื่อสารการตลาด   ตามลำดับขั้นตอน   การดำเนินงานตามลำดับขั้นนี้จะทำให้แผนการสื่อสารการตลาดช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้องค์กรประสบความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

กระบวนการวางแผนการสื่อสารการตลาด
                     ในการวางแผนการสื่อสารการตลาดของนักวิชาการต่าง    พอสรุปได้ถึงกระบวนการวางแผนการสื่อสารการตลาดออกเป็น   6   ส่วน  ดังนี้คือ
1.     การวิเคราะห์สถานการณ์
2.     การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
3.     การกำหนดวัตถุประสงค์การสื่อสารการตลาด
4.     การกำหนดเครื่องมือการสื่อสารการตลาด
5.     การกำหนดงบประมาณและระยะเวลา
6.     การประเมินผล
                   การวิเคราะห์สถานการณ์      เป็นองค์ประกอบแรกที่นักสื่อสารการตลาดต้องทำการวิเคราะห์เพื่อให้เข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับสินค้าและบริการว่าเป็นอย่างไรและมีปัญหาที่สำคัญอะไรบ้าง   นับว่าเป็นการวางแผนจากฐานศูนย์อย่างแท้จริง      เครื่องมือกลยุทธ์ที่นักสื่อสารการตลาดมักจะนิยมนำมาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์  คือ   การวิเคราะห์จุดแข็ง   จุดอ่อน  โอกาส  และ อุปสรรค  ของสินค้าและบริการ   ถือเป็นการพิจารณาจากสภาพแวดล้อมภายในองค์กร  เช่น   พิจารณาทั้งในเรื่องของบุคลากร   การจัดการผลิตภัณฑ์  ช่องทางการจัดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์   การส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์  ราคาของผลิตภัณฑ์  ฐานะทางการเงินขององค์กร  ภาพลักษณ์ของตราสินค้า   ชื่อเสียงขององค์กร  และกำลังการผลิตสินค้าขององค์กร  การวิเคราะห์โอกาส  และอุปสรรค  ถือเป็นการพิจารณาสภาวะแวดล้อมว่ามีปัจจัยใดบ้างที่เป็นปัจจัยสนับสนุนและเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งการเติบโตขององค์กร   เมื่อเราทำการวิเคราะห์สถานการณ์แล้วเราก็จะเข้าใจสภาพของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น    ปัจจุบันขององค์กรได้เป็นอย่างดี   นักสื่อสารการตลาดสามารถทำการวิเคราะห์สถานการณ์ในประเด็นอื่น     ได้อีกเพิ่มเติมได้แก่   การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์  การวิเคราะห์คู่แข่งขัน   และการวิเคราะห์สภาพตลาด   เป็นต้น
                     การกำหนดกลุ่มเป้าหมายการสื่อสารการตลาด        นักสื่อสารการตลาดสามารถดำเนินการใน   3  ขั้นตอน  คือ  การแบ่งส่วนการตลาด    การเลือกตลาดเป้าหมาย   การกำหนดตำแหน่งครองใจ
-       การแบ่งส่วนตลาด      แบ่งผู้บริโภคของสินค้าและบริการออกเป็นกลุ่มย่อยตามเกณฑ์ต่าง    โดยอาจเลือกใช้เกณฑ์ทางลักษณะประชากร  เกณฑ์ทางภูมิศาสตร์   เกณฑ์ทางลักษณะและจิตวิทยา   เกณฑ์ทางสังคมและวัฒนธรรม  และเกณฑ์ทางพฤติกรรม   ในทางปฏิบัตินิยมใช้หลายเกณฑ์ในการแบ่งเพื่อให้ได้กลุ่มต่าง     ที่มีความละเอียดเพียงพอสามารถเลือกเป้าหมายออกมาได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการวางแผนสื่อโฆษณาในลำดับต่อไป
-       การเลือกตลาดเป้าหมาย          นักสื่อสารการตลาดทำการเลือกตลาดเป้าหมายตามที่แบ่งในชั้นแรก  ควรเลือกตลาดเป้าหมายที่มีศักยภาพในการสื่อสารมากที่สุด  ซึ่งได้เลือกกลุ่มเป้าหมายได้  3  วิธี คือ   การตลาดแบบไม่แตกต่าง    การตลาดแบบแตกต่าง  และการตลาดแบบเจาะ   หลักสำคัญในการเลือกตลาดเป้าหมาย   4   ประการได้แก่   ต้องสามารถระบุได้      มีขนาดที่ใหญ่เพียงพอ   มีความคงทน   และสามารถเข้าถึงได้   ในการเลือกกุล่มเป้าหมายในแต่ละตราสินค้านั้น  นักสื่อสารการตลาดควรทำการเลือกจากเกณฑ์ต่าง      ร่วมกันเพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนที่สุด
-       การกำหนดตำแหน่งครองใจ      การกำหนดจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการนำเสนอให้เข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค   เพื่อให้การสื่อสารโฆษณานั้นมีความเด่นชัดในจิตใจของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด    หลักสำคัญของการวางตำแหน่งครองใจ   นักสื่อสารการตลาดควรกำหนดตำแหน่งครองใจที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งขัน  และไม่ควรมีตำแหน่งครองใจมากจนเกินไปเพราะอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนได้
                    การกำหนดวัตถุประสงค์การสื่อสารการตลาด      นักสื่อสารการตลาดจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ว่ามีเป้าหมายอย่างไร  ซึ่งควรสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการตลาด   สิ่งที่สำคัญที่นักสื่อสารการตลาดพึงตระหนัก  คือ  วัตถุประสงค์ที่มีลักษณะแตกต่างจากวัตถุประสงค์ทางการตลาด   คือจะมีลักษณะที่เน้นในด้านยอดขาย   อัตราการเติบโตของยอดขาย  กำไร  และส่วนครองตลาดมากกว่า   เช่น  ต้องการเพิ่มยอดขายจากปีที่แล้ว  3%  ภายในสิ้นปี  เป็นต้น  แต่หากเป็นวัตถุประสงค์ของการสื่อสารการตลาดจะเน้นที่เป้าหมายเชิงผลกระทบทางการสื่อสารที่มีต่อพฤติกรรมของผู้รับสสารมากกว่า  เช่น  ต้องการให้ผู้บริโภคเป้าหมาย  60%   จดจำตราสินค้าได้ภายใน   6  เดือน  หรือให้กลุ่มเป้าหมายเกิดทัศนคติในเชิงบวกกับตราสินค้าภายใน  3  เดือน  เป็นต้น   นักสื่อสารการตลาดจึงควรทำความเข้าใจแบบจำลองผลกระทบทางการสื่อสารเพื่อที่จะได้นำมากำหนดวัตถุประสงค์ในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ     ซึ่งแบบจำลองทางการสื่อสารมีหลายแบบ
-       แบบจำลองไอดา    พัฒนาขึ้นมาจากแนวคิดของกระบวนการขายสินค้าของพนักงานขายประกอบด้วย   การเรียกร้องความสนใจ   การสร้างความน่าสนใจ   การสร้างความปรารถนา  และการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการซื้อ
-       แบบจำลองลำดับขั้นตอนของผลกระทบ   พัฒนาขึ้นโดยพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคไม่ได้เกิดขึ้นโดยทันที  แต่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นตอนตั้งแต่รู้จักไปจนถึงการเกิดพฤติกรรมการซื้อ  การเกิดพฤติกรรมการซื้อ  เช่น  การรู้จัด   ความชอบ  ความพึงพอใจ  ความเชื่อมั่นที่จะซื้อ  การซื้อ
-       แบบจำลองการยอมรับนวัตกรรม      เกิดขึ้นจากผลงาวิชาการของนักวิชาการเกี่ยวกับการยอมรับนวัตกรรม   หรือการตัดสินใจยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของผู้บริโภค   แบ่งออกเป็น  5  ขั้นตอน   ขั้นตอนการรู้จัก   ขั้นตอนความสนใจ  ขั้นตอนการประเมินผล   ขั้นการทดลอง  และขั้นการยอมรับ
-       แบบจำลองการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร    พัฒนาในกระบวนการสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ   ซึ่งการสื่อสารการตลาดก็ถือว่าเป็นการสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจประเภทหนึ่งนั้น   ต้องผ่านกระบวนการโดยลำดับตามขั้นตอนดังนี้   ขั้นการนำเสนอสาร   ขั้นความใส่ใจ   ขั้นความเข้าใจ   ขั้นการยอมรับ  ขั้นการจดจำ  และขั้นแสดงพฤติกรรม 
-       แบบจำลอง   DAGMAR     ได้ถูกพัฒนาเพื่อเป้าหมายของการโฆษณาบนพื้นฐานของการตอบสนองของผู้บริโภค  แบบจำลองนี้ประกอบไปด้วย  การตระหนักรู้   ความรู้ความเข้าใจ   ความเชื่อมั่น   และการตัดสินใจซื้อ
                          การกำหนดเครื่องมือการสื่อสารการตลาด กลยุทธ์ที่สำคัญในการเลือกเครื่องมือการสื่อสารแบ่งตามกลยุทธ์กลุ่มเป้าหมาย  3  กลุ่มดังนี้
-       กลยุทธ์ดึง     กลยุทธ์ที่ผู้ผลิตสินค้าและบริการทำการสื่อสารมุ่งตรงไปยังผู้บริโภคคนสุดท้ายเพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้าและบริการ    เครื่องมือการสื่อสารในกลยุทธ์นี้จึงสามารถใช้ได้หลากหลายเครื่องมือร่วมกัน  ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา  การประชาสัมพันธ์  การส่งเสริมการขาย  การตลาดทางตรง  การใช้พนักงายขาย  หรือ การตลาดเชิงกิจกรรม  เป็นต้น   ผู้ผลิตสินค้าและบริการจะจัดสรรงบประมาณให้กับกลยุทธ์นี้
-       กลยุทธ์ผลัก      ผู้ผลิตสินค้าและบริการจะทำการสื่อสารมุ่งตรงไปยังผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกพยายามนำสินค้าและบริการเข้าไปจำหน่ายในร้านหรือสนับสนุนให้ลูกค้าซื้อสินค้า     เครื่องมือในการสื่อสารการตลาดในกลยุทธ์มีหลายเครื่องมือ   เช่น   การใช้การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่คนกลาง  ได้แก่  การให้ส่วนลดเงินสด   การให้ส่วนลดการค้า   การตกแต่งหน้าร้าน   หรือการให้สิ่งจูงใจพิเศษต่าง    แก่พนักงานขายหรือคนกลาง  เป็นต้น  
กลยุทธ์โครงร่าง      ผู้ผลิตสินค้าและบริการจะทำการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายอื่น    ขององค์กรที่ไม่ใช้ลูกค้าและคนกลาง   อาจเป็นกลุ่มพนักงานในองค์กร   ผู้บริหาร  นักลงทุน  สื่อมวลชน  ชุมชนละแวกใกล้เคียง  หน่วยงานของรัฐ   องค์กรภาคเอกชน  และผู้ถือหุ้น  เป็นต้น   เรียกรวมกลุ่มต่าง    เหล่านี้ว่ากลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร   เครื่องมือการสื่อสารการตลาดสำหรับกลยุทธ์นี้มีหลายอย่าง  แต่โดยส่วนใหญ่มักใช้การประชาสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่าง    เพื่อเป้าหมายในการสร้างความเข้าใจที่ดี  และภาพลักษณ์ที่ดีระหว่างองค์กรกับกลุ่มเป้าหมาย   และจะเหมาะสมกับองค์กรขนาดใหญ่ที่การดำเนินงานอาจจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนทั้งหมดได้  เช่น  องค์กรรัฐบาล  หรือบริษัทเอกชนขนาดใหญ่  เป็นต้น    เครื่องมือทางการสื่อสารการตลาดที่สำคัญนิยมใช้กันในปัจจุบันมีมากมาย  ได้แก่  การโฆษณา   การประชาสัมพันธ์  การส่งเสริมการขาย  การตลาดทางตรง  และการใช้พนักงานขาย   ซึ่งอาจเรียกเครื่องมือสื่อสารการตลาดเหล่านี้ว่า   “ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด”   ในปัจจุบันยังมีการใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาดในรูปแบบต่าง    อีกมากมาย   นักสื่อสารการตลาดจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้จักและข้าใจลักษณะของเครื่องมือการสื่อสารรูปแบบต่าง    เพื่อที่จะเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                   การตั้งงบประมาณและระยะเวลานักสื่อสารการตลาดสามารถตั้งงบประมาณได้   2  แนวทาง  คือ   การกำหนดงบประมาณจากบนลงล่าง     และ   การกำหนดงบประมาณจากล่างสู่บน   โดยมีรายละเอียดดังนี้
การกำหนดงบประมาณจากบนลงล่างเป็นการกำหนดวงเงินการสื่อสารการตลาดโดยงบประมาณในแนวทางนี้ไม่ได้คำนึงถึงหลักการในทางทฤษฏีมากนักเป็นแนวทางที่ผู้บริหารระดับสูงใช้กันมากที่สุด   เนื่องมาจากเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา  และความปรารถนาของผู้บริหารระดับสูงเองที่ต้องการจะควบคุมงบประมาณอย่างเคร่งครัด  ด้วยแนวทางนี้สามารถกำหนดได้หลายวิธีดังนี้   การกำหนดเท่าที่สามารถหาได้การกำหนดตามอำเภอใจ การกำหนดตามร้อยละของยอดขาย   การกำหนดตามคู่แข่งขัน   การกำหนดตามผลตอบแทนจากการลงทุน
การกำหนดงบประมาณจากล่างสู่บน   เป็นการกำหนดวงเงินการสื่อสารการตลาดเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของแนวทางแรก   เนื่องจากการกำหนดในแนวทางแรกนั้นงบประมาณที่จัดสรรจากผู้บริหารระดับสูง  มักไม่ค่อยสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการสื่อสารการตลาด  ทำให้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดที่ตั้งไว้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในการกำหนดงบประมาณในแนวทางนี้จึงเริ่มมีการพิจารณาวัตถุประสงค์ของการสื่อสารการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเริ่มการกำหนดวัตถุประสงค์การสื่อสารการตลาดก่อน   นักสื่อสารการตลาดจะกำหนดกิจกรรมแผนงาน  และกลยุทธ์ต่าง    เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น  จึงทำการประมาณค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในกิจกรรมดังกล่าว  แล้วนำเสนอผู้บริหารเพื่อเสนอขอให้ผู้บริหารพิจารณาอนุมัติ เรียกวิธีการกำหนดงบประมาณในลักษณะนี้ว่า  “การกำหนดงบประมาณจากวัตถุประสงค์และงานที่ทำ”
                       การประเมินผล     แผนการสื่อสารการตลาดในการประเมินผลสามารถแบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ  การประเมินผลในภาพรวม  หมายถึงการประเมินผลตามวัตถุประสงค์ของแผนการสื่อสารทั้งหมดโดยรวม  และการประเมินแต่ละเครื่องมือ  ซึ่งเป็นการประเมินผลแต่ละเครื่องมือการสื่อสาร  เช่น  การประเมินทัศนคติของผู้บริโภค หลังจากเปิดรับชื้นงานโฆษณา  หรือการประเมินความคิดเห็นของผู้บริโภคในการจัดกิจกรรมทางการตลาด  ซึ่งวิธีการประเมินสามารถแบ่งออกเป็น  2  วิธีคือ  การใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ  ได้แก่การใช้แบบสอบถามทำการสำรวจกับกลุ่มเป้าหมาย  และการใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ  ได้แก่  การสังเกต  การใช้สนทนากลุ่มย่อย  หรือการสัมภาษณ์เชิงลึก   ช่วยให้ได้ข้อมูลที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น

บทสรุป
                         การวางแผนการสื่อสารการตลาด    กระบวนการในการกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการในการสื่อสารการตลาด   ซึ่งเริ่ม   การวิเคราะห์สถานการณ์    การกำหนดกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย   การกำหนดวัตถุประสงค์   การกำหนดกลยุทธ์การสื่อสารการตลาด  การกำหนดงบประมาณและระยะเวลา  และการกำหนดแนวทางการประเมินผลแผนการสื่อสารการตลาด  ควรยึดหลักการวางแผนจากฐานศูนย์   เป็นการวางแผนบนพื้นฐานของเงื่อนไขและสภาวะแวดล้อม   ปัจจุบันเป็นหลักในการพิจารณา  เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้  การวางแผนกลยุทธ์ในองค์กรประกอบด้วย  4  ระดับ  ได้แก่  ระดับวิสัยทัศน์และพันธกิจ   ระดับแผนธุรกิจ   ระดับแผนกรตลาด  และระดับแผนการสื่อสารการตลาด  นักสื่อสารการตลาดจะต้องพิจารณาแผนทั้งหมดและวางแผนให้สอดคล้องกับแผนดังกล่าว  ด้วยกระบวนการวางแผนการสื่อสารการตลาดแบ่งออกเป็น  6  ส่วนได้แก่  การวิเคราะห์สถานการณ์   การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย  การกำหนดวัตถุประสงค์การสื่อสารการตลาด  การกำหนดเครื่องมือการสื่อสารการตลาด   การกำหนดงบประมาณและระยะเวลา  การประเมินผล



การโฆษณา
วัตถุประสงค์
1.     เพื่อให้เข้าใจความหมายและวัตถุประสงค์ของการโฆษณา
2.     เพื่อให้เข้าใจแนวทางการสร้างสรรค์งานโฆษณา
3.     เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสื่อโฆษณาประเภทต่าง    และเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม
4.     เพื่อให้รู้วิธีการประเมินผลการโฆษณาและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

               การโฆษณา     เครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทหนึ่งที่องค์กรธุรกิจนิยมใช้อย่างแพร่หลาย   เนื่องจากการโฆษณาสามารถมีอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคได้ค่อนข้างมาก  เพื่อการนำข้อมูลข่าวสารของสินค้าหรือบริการให้ผู้บริโภครู้จัก  สร้างทัศนคติที่ดีในตราสินค้าหรือองค์กร  กระตุ้นให้เกิดการซื้อและการใช้สินค้าหรือบริการ   ตลอดจนสร้างความจดจำและความภักดีในตราสินค้าอย่างต่อเนื่อง  

ความหมายของโฆษณา
                    สถาบันที่เกี่ยวข้องและนักวิชาการได้ให้ความหมายของการโฆษณาไว้พอสรุปได้ดังนี้  การโฆษณา  หมายถึง  รูปแบบของการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจให้กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายเกิดการตอบสนองตามที่ผู้โฆษณาต้องการ  ซึ่งในการนำเสนอข่าวสารนั้นอาจเป็นการส่งเสริมแนวคิด  สินค้า  หรือบริการก็ได้  แต่ทั้งนี้จะต้องมีการชำระเงินและผ่านสื่อที่ไม่ใช่ตัวบุคคล   โดยมีการระบุชื่อผู้ส่งสารหรือผู้โฆษณาด้วย

วัตถุประสงค์ของการโฆษณา
                       เครื่องมือสำคัญของการสื่อสารการตลาดขององค์กรคือการโฆษณา   โดยองค์กรธุรกิจต่าง    สามารถนำการโฆษณามาใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลายประการดังนี้
1.     เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารความรู้ในตัวผลิตภัณฑ์   การโฆษณาสามารถให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าและบริการ  ไม่ว่าจะเป็นวิธีใช้  คุณประโยชน์  ราคา  ช่องทางการจัดจำหน่าย  และรายการส่งเสริมการตลาดต่าง    ของสินค้าและบริการ
2.     เพื่อบอกความแตกต่างในตัวผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายจากคู่แข่งขัน   การโฆษณาสามารถเป็นเครื่องมือในการนำเสนอความแตกต่างของสินค้าและบริการจากคู่แข่งขัน  ทำให้ผู้บริโภคเป้าหมายทราบว่าตราสินค้านั้นมีความเหนือกว่าตราสินค้าคู่แข่งอย่างไรบ้าง
3.     เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ/ใช้ผลิตภัณฑ์     การโฆษณาสามารถนำมาใช้ในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจซื้อ / ใช้ตราสินค้านั้นได้  สังเกตเห็นได้ว่าสินค้าที่โฆษณามักจะมียอดขายที่สูงกว่าสินค้าที่ไม่ได้โฆษณา
4.     เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตราสินค้า     การโฆษณานอกจากจะช่วยกระตุ้นการซื้อ / ใช้สินค้าและบริการแล้ว  วัตถุประสงค์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตราสินค้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ในรูปแบบของการโฆษณาเพื่อสร้างภาพลักษณ์องค์การ ช่วยให้ผู้บริโภคเป้าหมายเกิดการตีความในเชิงบวกกับตราสินค้าหรือชื่อองค์กร  นำไปสู่การสร้างทัศนคติที่ดีให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
5.     เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้สูงขึ้น    การโฆษณาสามารถเพิ่มช่องทางให้กว้างยิ่งขึ้น  การสร้างการยอมรับให้กับผู้จัดจำหน่ายต่าง    ได้ง่ายขึ้น  สินค้าที่โฆษณามักเป็นสินค้าที่ผู้บริโภครู้จัก  จึงทำให้ผู้จัดจำหน่ายมีความมั่นใจว่าสินค้านั้นย่อมจะขายได้  มีแนวโน้มที่จะยอมรับเอาสินค้านั้นมาวางขายเพิ่มมากขึ้น
6.     เพื่อสร้างความภักดีในตราสินค้า     การโฆษณานอกจากนำมาใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสินค้าใหม่ที่เพิ่งออกสู่ตลาดแล้ว  ยังสามารถนำมาใช้กับสินค้าที่ผู้บริโภครู้จักเป็นอย่างดี   เพื่อให้ผู้บริโภคยังคงซื้อ / ใช้สินค้าและบริการนั้นอย่างต่อเนื่องและไม่เปลี่ยนใจไปใช้ของคู่แข่ง  การโฆษณาช่วยย้ำเตือนให้รู้ว่าสินค้านั้นยังคงมีอยู่ในตลาด  และยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างดียิ่ง  โดยไมจำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปใช้ตราสินค้าอื่น
7.     เพื่อช่วยละต้นทุนด้านการขายให้ต่ำลงเมื่อเทียบกับจำนวนกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย   การโฆษณาสามารถลดต้นทุนการขายให้ต่ำลง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาผ่านสื่อมวลชน  ได้แก่  วิทยุ  โทรทัศน์  เป็นต้น   สื่อที่เข้าถึงผู้รับสารจำนวนมาก  ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยเป็นต้นทุนที่ต่ำ  เมื่อเทียบกับการใช้เครื่องมือส่งเสริมการตลาดประเภทอื่น ๆ  เช่น  การใช้พนักงานขาย  หรือ  การตลาดทางตรง  จะเสียต้นทุนเฉลี่ยที่แพงมาก
8.     เพื่อช่วยสร้างคุณค่าตราสินค้าให้เป็นที่ยอมรับแก่ผู้บริโภค     การโฆษณาช่วยสร้างคุณค่าของสินค้าให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้บริโภคได้  ทำให้ผู้บริโภคได้รู้จักตราสินค้า  เกิดการรับรู้ในคุณภาพของตราสินค้า  เกิดการเชื่อมโยงภาพลักษณ์ของตราสินค้าในเชิงบวก  และเกิดความภักดีในตราสินค้า   ซึ่งผลของกระบวนการเหล่านี้ย่อมจะช่วยเสริมสร้างคุณค่าตราสินค้าให้อยู่ในใจของผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน
การสร้างสรรค์งานโฆษณา
                     การพัฒนากลยุทธ์การสร้างสรรค์ในงานโฆษณา   นักสื่อสารการตลาดควรทำการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นในการสร้างสรรค์หรือออกแบบสารโฆษณาให้อยู่ในรูปของเอกสารสรุปประเด็นสำคัญอาจเรียกต่างกัน  แต่เอกสารเหล่านี้จะประกอบไปด้วยข้อมูลพื้นฐานต่าง    ของตราสินค้าและผู้บริโภคเป้าหมายที่จะเป็นพื้นฐานต่อการนำไปสร้างสรรค์งานโฆษณาต่อไป  นักการสื่อสารไม่ได้เป็นผู้สร้างงานโฆษณาด้วยตนเอง หรือบริษัทตัวแทนโฆษณาเป็นผู้ดำเนินการ  แต่นักสื่อสารการตลาดก็ควรมีความรู้ความเข้าใจในการสร้างสรรค์ชิ้นงานโฆษณาด้วย   เพื่อที่จะสามารถสื่อสารกับฝ่ายโฆษณาได้อย่างถูกต้องและเกิดความเข้าใจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ  สามารถสรุปได้  3  ขั้นตอน  ดังนี้
-       การกำหนดวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร   ต้องสามารถระบุได้ว่าชิ้นงานโฆษณานั้นต้องการให้ผู้บริโภคเป้าหมายเกิดการตอบสนองอย่างไร  นักสื่อสารการตลาดสามารถนำแบบจำลองทางการสื่อสารโฆษณามาใช้ในการกำหนดวัตถุประสงค์ได้
-       การหาข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคเป้าหมาย   ข้อมูลต่าง    ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคสินค้าของผู้บริโภคเป้าหมาย  ได้แก่  แรงจูงใจ  ความต้องการ  การรับรู้  การเรียนรู้  ทัศนคติ  และความเชื่อ เป็นต้น  ข้อมูลเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคทั้งสิ้น  ขั้นตอนนี้นักสร้างสรรค์งานโฆษณาอาจทำการศึกษาวิจัยด้วยตนเอง  ข้อมูลเชิงลึกนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำมากำหนดแนวคิดหลักทางการโฆษณา  เป็นการตอบคำถามที่ว่า  “ทำไมผู้บริโภคจึงจำเป็นจะต้องซื้อตราสินค้านี้”  และ  “ตราสินค้านี้สามารถตอบสนองความต้องการหรือแก้ไขปัญหาของผู้บริโภคได้อย่างไร”
-       การเลือกกลยุทธ์และกลวิธีในการเสนอขาย     นักสื่อสารการตลาดได้ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ขั้นต่อมาคือการกำหนดกลยุทธ์และกลวิธีในการเสนอขายที่เหมาะสม  ในขั้นตอนนี้จะแบ่งออกเป็น  2  ส่วน  คือการกำหนดกลยุทธ์การสร้างสรรค์ และ การกำหนดกลวิธีการนำเสนอ
กลยุทธ์การสร้างสรรค์   การกำหนดข่าวสารหลักของสินค้าและบริการที่ต้องการจะสื่อสารไปยังผู้บริโภค  เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำและนำไปสู่การตัดสินใจซื้อหรือบริการตามที่นักสื่อสารการตลาดตั้งใจไว้
การกำหนดกลวิธีการนำเสนอ   ในการนำเสนองานโฆษณานั้น  นักสื่อสารการตลาดควรกำหนดกลวิธีในประเด็นต่อไปนี้   น้ำเสียงและลีลาการเสนอขาย   จุดดึงดูดใจ  สไตล์การนำเสนอ
สื่อโฆษณา
                   ความจำเป็นที่จะต้องรู้จักและเข้าใจลักษณะของสื่อโฆษณาประเภทต่าง    เพื่อที่จะสามารถเลือกสื่อโฆษณาในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่าง    ได้อย่างเหมาะสม   สื่อโฆษณาสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท  ดังนี้
1.     สื่อสิ่งพิมพ์    ได้แก่หนังสือพิมพ์  นิตยสาร  แผ่นพับ  และโปสเตอร์  เป็นต้น
2.     สื่อกระจายเสียงและภาพ  ได้แก่  วิทยุกระจายเสียง  วิทยุโทรทัศน์   และเคเบิลทีวีต่าง    เป็นต้น
3.     สื่อกลางแจ้งหรืออาจเรียกว่าสื่อนอกสถานที่   ได้แก่  ป้ายข้างรถประจำทาง  ป้ายสามเหลี่ยม  ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่    สื่อรถสาธารณะ  สื่อป้ายโฆษณาหลอดไฟกระพริบ   เละสื่อโฆษณาบนตึก     เป็นต้น
4.     สื่อโฆษณาประเภทอื่น    ได้แก่  สื่อในโรงภาพยนตร์  สื่ออินเทอร์เน็ต  จดหมายทางตรง  สื่อโฆษณาแบบตอบกลับทันที  คูปอง  สื่อโฆษณาในตู้โทรศัพท์   สื่อโฆษณาในร้านค้า  สื่อกิจกรรม  สื่อโฆษณา ณ จุดซื้อ เป็นต้น
              ในปัจจุบัน    ทางปฏิบัติบริษัทตัวแทนโฆษณามักนิยมแบ่งสื่อโฆษณาออกเป็น  2  ประเภทคือ
-       สื่อ       ที่ใช้สื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภคเป้าหมาย  ได้แก่  วิทยุโทรทัศน์  วิทยุกระจายเสียง  หนังสือพิมพ์  นิตยสาร  และภาพยนตร์
-       สื่อ       การใช้สื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช้สื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภคเป้าหมาย  ได้แก่  การจัดกิจกรรมพิเศษ  สื่อโฆษณากลางแจ้ง  สื่อโฆษณา    จุดซื้อจุดขาย  สื่อโฆษณาในร้านค้าปลีก  การจัดทำของที่ระลึก  และการใช้สื่อออนไลน์  เป็นต้น
                 สื่อโฆษณาสามารถแบ่งได้ออกเป็นหลายประเภทข้างต้น   แต่สื่อโฆษณามีคุณสมบัติร่วมกันดังนี้คือ    
1.     เป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงคนจำนวนมาได้อย่างกว้างขวางในเวลาอันรวดเร็ว
2.     เป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยราคาประหยัดเมื่อคิดเฉลี่ยต่อหัว  ถ้าเข้าถึงด้วยวิธีอื่น ๆ  จะเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า
3.     เนื้อหาของสื่อแต่ละประเภทสามารถบอกได้ว่าเหมาะสมกับผู้บริโภคกลุ่มใด  
                  นักสื่อสารการตลาดจึงสามารถเลือกสื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้  คุณสมบัติของสื่อโฆษณาประเภทต่าง    ที่สำคัญที่นักสื่อสารการตลาดจำเป็นจะต้องทราบ ดังนี้
1.     หนังสือพิมพ์     สิ่งพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นแผ่นพับซ้อนกัน   ไม่ได้เย็บเล่ม   มีกำหนดออกเป็นระยะเวลาที่แน่นนอน  มีวัตถุประสงค์หลักคือ  การแจ้งข่าวสาร  เสนอความคิดเห็น  ความบันเทิง  ประกาศแจ้งความ  และโฆษณา   การโฆษณาในหนังสือพิมพ์ถือว่าเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่นิยมใช้กันมาก   สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้จำนวนมาก  มีข้อได้เปรียบและข้อจำกัด  ดังนี้
ข้อได้เปรียบ
-       มีความครอบคลุมสูงและสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้อ่านได้จำนวนมาก
-       สามารถใส่เนื้อหารายละเอียดได้มาก
-       ต้นทุนไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับสื่อโทรทัศน์
-       ผู้รับสารมีความตั้งใจอ่าน
-       สามารถเลือกหน้าหรือเนื้อที่โฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายได้
-       สามารถเลือกใช้เพื่อเข้าถึงผู้รับสารตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ได้
-       มีความยืดหยุ่นสูงในการจองเนื้อและสร้างสรรค์งานโฆษณา
-       เข้าถึงผู้อ่านและสามารถวัดผลการโฆษณาได้รวดเร็ว
ข้อจำกัด
-       คุณภาพการพิมพ์ต่ำ    พิมพ์ด้วยกระดาษราคาถูก  ทำให้สีสันไม่ดึงดูดใจ
-       ไม่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้มากนัก   จะเข้าถึงกลุ่มคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
-       เป็นสื่ออายุสั้น   การจัดพิมพ์มีการพิมพ์ออกมาเป็นรายวัน
-       มีโฆษณากระจุกตัวอยู่ค่อนข้างมาก  ทำให้ข่าวสารโฆษณาแต่ละชิ้นไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
2.     นิตยสาร      สิ่งพิมพ์ที่ออกเป็นประจำ   จัดพิมพ์เป็นรูปเล่มสมบูรณ์  ประกอบด้วยเนื้อหาสารคดี  บันเทิงคดี  ข่าว  และโฆษณา  นับเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีการเติบโตสูงมาก  เนื่องจากเป็นสื่อที่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายในการเข้าถึงได้เป็นอย่างดี  เช่น  นิตยสารสำหรับผู้หญิงทำงาน   ผู้ชายรักสุขภาพ  สำหรับวัยรุ่น  กลุ่มคนที่ชอบแข่งรถ  หรือสำหรับกลุ่มคนที่ชอบเล่นกีฬา  เป็นต้น   มีข้อได้เปรียบและข้อจำกัด  ดังนี้

ข้อได้เปรียบ
-       คุณภาพการพิมพ์สวย
-       อายุนานกว่าหนังสือพิมพ์
-       สามารถเลือกกุล่มเป้าหมายได้
-       สร้างสรรค์โฆษณาได้หลายรูปแบบ
-       เหมาะสมกับการลงโฆษณาในรูปของบทความแฝงโฆษรา
                        ข้อจำกัด
-       มีราคาแพง  เป็นการใช้กระดาษที่มีคุณภาพมากกว่าหนังสือพิมพ์  ทำให้ต้นทุนสูง
-       เป็นสื่อที่มีโฆษณากระจุกตัวสูงมาก  ทำให้ชิ้นงานโฆษณาต่าง  ๆ ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
-       ต้องจองพื้นที่ล่วงหน้าเป็นเวลานานกว่าหนังสือพิมพ์
-       เข้าถึงผู้อ่านจำนวนน้อยกว่าหนังสือพิมพ์
-       ไม่สามารถสร้างความถี่ในการเปิดรับสารโฆษณาได้มากนัก
3.     วิทยุกระจายเสียง        เป็นสื่อที่มีความครอบคลุมสูงเกือบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ   สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวาง   ปัจจุบันมีสถานีที่ให้นักสื่อสารการตลาดสามารถเลือกลงมากทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด  เป็นระบบเอเอ็มและเอฟเอ็ม   สื่อวิทยุกระจายเสียงมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัด  ดังนี้
ข้อได้เปรียบ
-       มีความครอบคลุมสูง  สามารถเข้าถึงผู้ฟังได้จำนวนมากทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด
-       ต้นทุนต่ำ  ทั้งในด้านค่าสื่อและค่าผลิต
-       สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตามรายการต่าง 
-       มีความยืดหยุ่นสูงและมีความรวดเร็ว
-       สามารถใส่รูปแบบในการทำกิจกรรมทางการตลาดได้มาก
-       ประชาชนที่อ่านหนังสือไม่ออก หรือมองไม่เห็น  ก็สามารถเปิดรับสื่อวิทยุกระจายเสียงได้
-       สื่อวิทยุกระจายเสียงเป็นสื่อที่สามารถเคลื่อนที่ได้
-       เป็นสื่อที่สร้างการยอมรับได้ง่าย
                 ข้อจำกัด
-       ขาดความน่าสนใจเพราะมีเพียงเสียงเท่านั้น  ไม่มีภาพประกอบ
-       ผู้ฟังมักไม่ได้ตั้งใจขณะเปิดรับ  เพราะทำกิจกรรมอย่างอื่นร่วมอยู่ด้วย
-       ข่าวสารมีอายุสั้น   เพราะเมื่อออกอากาศไปแล้ว  ก็ถือว่าจบไปแล้ว
-       ผู้ฟังสามารถเปลี่ยนสถานีได้ง่ายเมื่อมีโฆษณา
4.     วิทยุโทรทัศน์       สื่อที่สร้างผลกระทบในทางการสื่อสารได้มากที่สุด   เป็นสื่อที่มีความครอบคลุมสูง  ที่มีทั้งภาพ    เสียง  และการเคลื่อนไหว  และสามารถที่ใส่ความน่าสนใจต่าง    ลงไปได้อย่างมาก  ปัจจุบันนับว่ามีรายการในรูปแบบที่หลากหลาย  และมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันทำให้สามารถเลือกลงโฆษณาในรายการต่าง    ได้อย่างหลากหลาย  สื่อวิทยุโทรทัศน์นับเป็นสื่อที่มีความคุ้มค่าเป็นอย่างมาก   มีข้อได้เปรียบและข้อจำกัด  ดังนี้
ข้อได้เปรียบ
-       สร้างผลกระทบทางการสื่อสารได้สูงกว่าสื่ออื่น      เป็นสื่อที่มีทั้งภาพ  เสียง  และการเคลื่อนไหว
-       มีความคุ้มค่าด้านต้นทุน
-       สามารถเลือกรายการในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มาก
-       เป็นสื่อที่มีอิทธิพลสูงมาก  เพราะประชาชนติดตามตลอดเวลา
-       เข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้าง
-       สามารถสร้างความถี่ในการโฆษณาได้เป็นอย่างดี
                  ข้อจำกัด
-       อายุสั้น  เพราะเมื่อออกอากาศไปแล้ว  ก็ถือว่าจบไป
-       ต้นทุนสูงมากทั้งในด้านการผลิตและราคาสื่อ
-       มีการกระจุกตัวสูงมาก
-       ต้องใช้ผู้ชำนาญการในการผลิตและการซื้อสื่อโฆษณา
-       ขาดความยืดหยุ่นในการกำหนดตารางสื่อโฆษณา
5.     สื่อกลางแจ้งหรือสื่อนอกสถานที่      เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก  มีความยืดหยุ่นสูง  และราคาไม่แพงเท่ากับการโฆษณาในสื่อมวลชน   ปัจจุบันมีรูปแบบของการโฆษณาในสื่อประเภทนี้มากมาย  ได้แก่  ป้ายข้างรถประจำทาง  ป้ายสามเหลี่ยม  ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่  สื่อรถตุ๊กตุ๊ก  สื่อรถแท็กซี่  สื่อรถไฟฟ้า  ป้ายโฆษณาขนาดเล็ก  สื่อป้ายโฆษณาหลอดไฟกระพริบ  สื่อโฆษณาเคลื่อนที่  เป็นต้น   ซึ่งมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดดังนี้
ข้อได้เปรียบ
-       เข้าถึงและสร้างความถี่ได้สูง  เป็นสื่อกลางแจ้งที่ประชาชนเห็นได้ตลอดเวลาและไม่จำกัดจำนวนครั้ง
-       มีความยืดหยุ่นสูง   ไม่จำกัดว่าจะเป็นสี  ขนาด  ตัวอักษร  หรืออาจเพิ่มกราฟิกที่น่าสนใจลงไปได้
-       เหมาะกับการสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภคในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง 
-       มีผลกระทบสูง  โดยทั่วไปมีขนาดใหญ่  ภาพ  และข้อความที่ปรากฏอยู่จึงต้องมีขนาดใหญ่
-       มีต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับสื่อประเภทอื่น    โดยเฉพาะสื่อมวลชน
                 ข้อจำกัด
-       การวัดประสิทธิผลของสื่อทำได้ยาก
-       ไม่สามารถใส่รายละเอียดได้มาก
-       ประชาชนบางกลุ่มต่อต้านสื่อโฆษณากลางแจ้ง
-       อาจทำให้ภาพลักษณ์ของตราสินค้าเสียหายได้
-       การเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะทำได้จำกัด
6.     สื่อโรงภาพยนตร์   นับเป็นการโฆษณาที่มีผลกระทบสูงมาก   เป็นสื่อที่มีทั้งภาพ  เสียง  การเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน  มีลักษณะเช่นเดียวกับการโฆษณาในสื่อวิทยุโทรทัศน์  จะมีขนาดใหญ่กว่ามากและระบบเสียงในโรงภาพยนตร์จะช่วยสร้างอารมณ์  ความตื่นเต้น  ความประทับใจได้ดีกว่า   ปัจจุบันมักอยู่ในห้างสรรพสินค้า  หรือแหล่งจับจ่ายของเขตเมือง  ทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการพักผ่อนหย่อนใจหันมาชม             ภาพยนตร์กันมากยิ่งขึ้น    การโฆษณาในโรงภาพยนตร์มีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดดังนี้
ข้อได้เปรียบ
-       เป็นสื่อที่สร้างอารมณ์ร่วมได้ดี  สร้างความรู้สึกประทับใจ   และทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์คล้อยตามได้ง่าย
-       สามารถใส่รูปแบบในการโฆษณาได้หลากหลาย
-       เหมาะกับกลุ่มผู้บริโภคที่อายุระหว่าง  15 – 24  ปี  เป็นช่วงวัยที่ชมภาพยนตร์มากกว่าช่วงวัยอื่น 
-       ผู้ชมตั้งใจในการเปิดรับโฆษณาสูง
                   ข้อจำกัด
-       ปัจจุบันค่าชมโฆษณาราคาสูงมาก
-       ไม่เหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคในเขตชนบท  ผู้มีรายได้น้อย  และผู้สูงอายุ
-       เป็นการโฆษณาซ้ำไปซ้ำมาหลาย    ครั้ง  อาจทำให้เกิดความเบื่อหน่าย
7.     สื่อโฆษณา    จุดซื้อ       หรืออาจเรียกว่าสื่อโฆษณาในร้านค้า   เป็นวิธีการที่พยายามเข้าถึงประชาชนแม้ยในขณะกำลังซื้อสินค้า  โดยใช้การจัดแสดง  ณ จุดซื้อและขายเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจและตัดสินใจเข้าไปซื้อสินค้า  เราจึงเห็นสื่อโฆษณาประเภทนี้ในบริเวณที่มีการจำหน่ายสินค้า  เช่น ห้างสรรพสินค้า  บริเวณที่จำหน่ายตั๋วชมภาพยนตร์  เป็นต้น   รูปแบบของสื่อโฆษณา  ณ จุดซื้อมีมากมาย  เช่น  การจัดวางสินค้า  ป้ายผ้า  ป้ายแขวน  ป้ายจัดแสดงที่ร้านค้า  ป้ายลดราคา  รายการวิทยุในร้านค้าปลีก  เครื่องแบบพนักงานภายในร้าน  การนำไปมาประดับตกแต่งร้าน  เป็นต้น   นับว่าได้รับความนิยมจากผู้ผลิตสินค้าและบริการค่อนข้างมากในปัจจุบัน   สามารถโน้มน้าวใจและผลักดันให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าได้สูง โดยมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดดังนี้
ข้อได้เปรียบ
-       เป็นสื่อที่มีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในร้านค้า
-       สามารถใช้เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคทดลองสินค้าใหม่  หรือจูงใจให้เปลี่ยนมาใช้ตราสินค้าที่เขาไม่ได้ตั้งใจซื้อ
-       มีความยืดหยุ่นสูงและมีรูปแบบที่หลากหลาย  สามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
-       เป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมการขายร่วมกับร้านค้าปลีกได้อย่างดียิ่ง
                 ข้อจำกัด
-       ต้องพยายามออกแบบให้น่าสนใจ
-       ร้านค้าปลีกอาจมองว่าเป็นการเกะกะพื้นที่ในการจำหน่ายสินค้า
8.     สื่ออินเทอร์เน็ต      เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า   ทำให้สามารถเข้าถึงสื่อเพิ่มสูงขึ้นและสื่ออินเทอร์เน็ตกลายเป็นสื่อสำคัญที่ผู้ผลิตสินค้าและบริการนิยมใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน   นับว่ามีหน้าที่ที่สำคัญ    2  ประการคือ  หน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร  และ หน้าที่ในการสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคได้  สื่ออินเทอร์เน็ตมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดดังนี้
                  ข้อได้เปรียบ
-       เป็นสื่อที่ผู้บริโภคสามารถเข้าได้ไม่จำกัดเวลาและสถาที่
-       ค่าใช้จ่ายต่ำเมื่อเทียบกับการใช้สื่อมวลชนประเภทอื่น 
-       สามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี
-       เป็นสื่อที่สามารถมีปฏิกิริยาตอบกลับได้ในเวลาอันรวดเร็ว
-       เหมาะกับการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเยาวชน
-       มีความยืดหยุ่นสูง  เพราะสามารถปรับเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอที่หลากหลาย
-       ประเมินผลได้ง่าย    
-       สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงค่อนข้างสูง
-       เป็นสื่อที่มีความเป็นส่วนบุคคลสูง
                ข้อจำกัด
-       ปัจจุบันมีการโฆษณาในเว็บไซต์ต่าง    เป็นจำนวนมาก  อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความเบื่อหน่ายและรำคาญ
-       เป็นสื่อที่จะเข้าถึงเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้อินเทอร์เน็ตเท่านั้น
-       หากออกแบบไม่น่าสนใจ  ย่อมทำให้ผู้บริโภคเพิกเฉยต่อสื่อโฆษณาได้
-       ต้องคอยปรับเนื้อหาในสื่อโฆษณาในทันสมัยอยู่เสมอ
                 ในปัจจุบันการโฆษณาบนสื่ออินเทอร์เน็ตสามารถทำได้หลายรูปแบบ  ได้แก่       การจัดทำเว็บไซต์ของตนเองเพื่อให้ข้อมูลของผลิตภัณฑ์โดยตรง   การส่งข้อความอิเล็กทรอนิกส์   การสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์  เป็นต้น  ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบที่ใช้   นักสื่อสารการตลาดควรที่จะเลือกรูปแบบที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการเปิดรับสื่อโฆษณาของกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายเป็นสำคัญ
9.     สื่อโฆษณาจดหมายทางตรง      การส่งข่าวสารการโฆษณาไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายโดยตรงทางไปรษณีย์   ปัจจุบันการโฆษณาทางไปรษณีย์ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งของการตลาดแบบตรง   นักการตลาดนิยมใช้ค่อนข้างมากการโฆษณาโดยสื่อจดหมายทางตรงมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัด  ดังนี้
ข้อได้เปรียบ
-       เป็นสื่อที่ทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญและเปิดอ่านได้ง่าย    เป็นการจ่าหน้าซองถึงชื่อของผู้รับโดยตรง
-       เป็นสื่อที่มีความเป็นส่วนบุคคลสูง  ทำให้คู่แข่งไม่สามารถรู้กลยุทธ์ของเราได้
-        มีความยืดหยุ่นสูง   สามารถออกแบบในรูปแบบที่หลากหลาย  ไม่ว่าจะเป็นแผ่นพับ  โบรชัวร์  จดหมาย หรือสิ่งพิมพ์อื่น  
-       เป็นสื่อที่สามารถเลือกผู้บริโภคเป้าหมายอย่างเจาะจงได้ดีมาก
-       เป็นสื่อที่วัดผลได้ง่าย

ข้อจำกัด
-       มีภาพลักษณ์ที่ดูเป็นจดหมายขยะ
-       ต้องมีฐานข้อมูลในด้านชื่อและที่อยู่ของลูกค้าที่ทันสมัย เพื่อที่ส่งได้ถึงมือผู้รับ
-       ต้นทุนต่อผู้บริโภคเป้าหมายแต่ละคนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเภทอื่น
                                                                            

การประเมินผลการโฆษณา
                 เมื่องานโฆษณาเผยแพร่ในสื่อต่าง    ตามที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว   กระบวนการโฆษณายังถือว่าไม่สิ้นสุด  นักสื่อสารการตลาดจะทำการประเมินงานโฆษณาที่ลงไว้ด้วยถือเป็นขั้นตอนสำคัญ  เพราะนักสื่อสารการตลาดจะนำข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลมาพัฒนาและปรับปรุงกลยุทธ์การโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   การวิจัยประเมินผลงานโฆษณา  หมายถึงการวัดผลของประสิทธิภาพในการโฆษณาไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของชิ้นงานโฆษณา   รายละเอียดของงานโฆษณา  หรือด้านการติดต่อสื่อสารในช่วงเวลาหนึ่ง   จะทำได้ใน  2  ลักษณะคือ
-       การวิจัยเพื่อวัดผลกระทบทางการสื่อสาร      เป็นการประเมินชิ้นงานโฆษณานั้นสามารถสื่อสารไปยังผู้บริโภคเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด  การประเมินในลักษณะนี้มักจะเป็นการประเมินในด้านการรับรู้  ความรู้ความเข้าใจ  ทัศนคติ  ความเชื่อมั่น  และความตั้งใจซื้อ  ซึ่งเป็นไปตามแบบจำลองทางการสื่อสารการโฆษณาที่นักสื่อสารการตลาดนำมากำหนดวัตถุประสงค์
-       การวิจัยเพื่อวัดผลกระทบทางยอดขาย   เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการศึกษาว่าผลของการโฆษณาจะช่วยเพิ่มยอดขายของสินค้าและ บริการมากน้อยเพียงใด  การวัดผลยอดขายนับว่าเป็นเรื่องยากกว่าการวัดผลกระทบทางการสื่อสาร  เนื่องจากยอดขายได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยไม่ใช่ได้รับจากการโฆษณาเพียงอย่างเดียว  เช่น  อาจมาจากเศรษฐกิจ  ราคา  คุณภาพของสินค้า  กลยุทธ์ของคู่แข่ง  และความครอบคลุมในการกระจายสินค้า  เป็นต้น  ปัจจัยที่นักสื่อสารการตลาดไม่สามารถควบคุมได้    ปัจจุบันเริ่มหันมาสนใจการวัดประสิทธิผลของการโฆษณาจากยอดขายมากยิ่งขึ้น   เพื่อพิจารณาว่าบริษัทควรจะเพิ่มงบประมาณการโฆษณาหรือควรลดลง  เสนอวิธีการวัดประสิทธิผลของโฆษณาจาก   “อัตราส่วนประสิทธิผลการโฆษณา”  วัดจากสัดส่วนของงบโฆษณาของบริษัทหรืออาจเรียกว่าสัดส่วนเสียงกับส่วนครองตลาดของขืบริษัท
                    การวิจัยประเมินผลการโฆษณามีหลายวิธี   การจะเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ  ได้แก่  วัตถุประสงค์การตลาด   วัตถุประสงค์การโฆษณา  งบประมาณบุคลากร   นโยบายของบริษัท  และกลุ่มเป้าหมาย  เป็นต้น  จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประเมินจะต้องพิจารณาตัดสินใจว่าควรจะใช้วิธีการใดหรืออาจใช้หลายวิธีร่วมกันถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น   เพื่อให้การวัดประสิทธิผลมีความถูกต้องแม่นยำและมีความเชื่อถือได้มากที่สุด

บทสรุป
                  การโฆษณา   หมายถึง  รูปแบบของการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจให้กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายเกิดการตอบสนองตามที่ผู้โฆษณาต้องการ  ในการนำเสนอข่าวสารนั้นเป็นการส่งเสริมแนวคิด  สินค้าหรือบริการ  นับเป็นเครื่องสำคัญของการสื่อสารการตลาดขององค์กรธุรกิจ  สามารถนำการโฆษณามาใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลายประการเพื่อให้ข้อมูลข่าวสารความรู้ในตัวผลิตภัณฑ์  เพื่อบอกความแตกต่างในตัวผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายจากคู่แข่ง  เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ / ใช้ผลิตภัณฑ์  เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตราสินค้า  เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้สูงขึ้น   เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการขายให้ต่ำลง   การพัฒนากลยุทธ์การสร้างสรรค์งานโฆษณา  สามารถสรุปได้   3    ขั้นตอนได้แก่   การกำหนดวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร   การหาข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคเป้าหมาย  และการเลือกกลยุทธ์และกลวิธีในการเสนอขาย   นักสื่อสารการตลาดมีความจำเป็นที่จะต้องรู้จักและเข้าใจลักษณะของสื่อโฆษณาประเภทต่าง    เพื่อที่จะสามารถเลือกสื่อโฆษณาในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่าง    ได้อย่างเหมาะสม   การประเมินผลงานโฆษณาจะทำได้ใน  2    ลักษณะใหญ่    คือ  การวิจัยเพื่อวัดผลกระทบทางการสื่อสาร   และการวิจัยเพื่อวัดผลกระทบทางยอดขาย   การเลือกใช้วิธีใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ  ได้แก่  วัตถุประสงค์ทางการตลาด   วัตถุประสงค์การโฆษณา  งบประมาณ  นโยบายของบริษัท  และ  กลุ่มเป้าหมาย  เป็นต้น    ผู้ประเมินจะต้องพิจารณาตัดสินใจว่าควรจะใช้วิธีการใดหรืออาจใช้หลายวิธีร่วมกันถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น   เพื่อให้การวัดประสิทธิผลมีความถูกต้องแม่นยำและมีความเชื่อถือได้มากที่สุด







การประชาสัมพันธ์
             วัตถุประสงค์
1.     เพื่อให้เข้าใจความหมายและบทบาทของการประชาสัมพันธ์
2.     เพื่อให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการตลาดและการประชาสัมพันธ์
3.     เพื่อให้เข้าใจกระบวนการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด
4.     เพื่อให้รู้จักและเลือกใช้กลยุทธ์และเครื่องมือการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดได้อย่างเหมาะสม
                   การประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันนับเป็นเครื่องมือที่สำคัญทางการสื่อสารการตลาดที่ชาดไม่ได้ในการดำเนินธุรกิจ   คุณสมบัติที่สำคัญในการช่วยสื่อสารข้อมูลข่าวสารของตราสินค้าและองค์กรไปสู่กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย  ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย  เพื่อให้เกิดความเข้าใจและมีทัศนคติที่ดีต่อตราสินค้าและองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ    ขอนำเสนอแนวคิดของการประชาสัมพันธ์อันประกอบไปด้วยความหมายและบทบาทของการประชาสัมพันธ์ความสัมพันธ์ระหว่างการตลาดและการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด  มีรายละเอียดดังนี้

ความหมายและบทบาทของการประชาสัมพันธ์
                   การประชาสัมพันธ์  หมายถึง  รูปแบบของการสื่อสารรูปแบบหนึ่งมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ  เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ  และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง     ได้แก่  ผู้บริโภค  พนักงานในบริษัท  ตัวแทนจำหน่าย  ผู้ถือหุ้น  หน่วยงานรัฐบาล  ประชาชนทั่วไป  กลุ่มผู้ใช้แรงงาน  และกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคม  เป็นต้น   ทำให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
                   การประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่แท้จริงแล้วแตกต่างกัน    การเผยแพร่  คือ  การที่หน่วยงานต่าง    ได้ส่งข่าวสารผ่านสื่อมวลชนไปยังกลุ่มผู้รับสารเป้าหมาย  หน้าที่นี้ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประชาสัมพันธ์เท่านั้น   ส่วนการประชาสัมพันธ์เป็นรูปแบบการสื่อสารต่าง    เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ  และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย  จะมีขอบเขตที่กว้างกว่าการเผยแพร่มากนัก  นักการสื่อสารการตลาดสามารถนำการประชาสัมพันธ์มาใช้ในการสื่อสารการตลาดได้  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  “การประชาสัมพันธ์ทางการตลาด”    กระบวนการของการวางแผน  การบริหารจัดการ  และการประเมินผลโปรแกรมต่าง    เพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้าและสร้างความพึงพอใจของผู้บริโภคผ่านทางรูปแบบของการสื่อสารที่น่าเชื่อถือ   ช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาดนั่นเอง  การประชาสัมพันธ์ทางการตลาดมีบทบาทสำคัญต่อการสื่อสารการตลาดหลายประการ ดังนี้
1.     เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานและกิจกรรมต่าง    ของธุรกิจ
2.     เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรและประชาชนกลุ่มต่าง    ที่เกี่ยวข้อง
3.     เพื่อสร้างความนิยมเลื่อมใสและสร้างความศรัทธาจากประชาชน
4.     เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ตราสินค้าและธุรกิจ
5.     เพื่อเสริมสร้างความเจริญและความมั่นคงให้แก่ธุรกิจในระยะยาว
6.     เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นทั้งในตราสินค้าและองค์กร
7.     เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการได้สื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง
8.     เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีให้แก่บุคลากรภายในองค์กร

ความสัมพันธ์ระหว่างการตลาดกับการประชาสัมพันธ์
                      การประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญของการตลาด   ในฐานะที่เป็นเครื่องมือการสื่อสารรูปแบบหนึ่งในการส่งข้อมูลข่าวสารของตราสินค้าและองค์กรไปสู่กลุ่มเป้าหมายต่าง    เพื่อนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาดขององค์กร    นักสื่อสารการตลาดจะเรียกการประชาสัมพันธ์ที่ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดว่า  “การประชาสัมพันธ์ทางการตลาด”    ถือเป็นการผสมผสานข้อดีของการตลาด  และข้อดีของการประชาสัมพันธ์เพื่อองค์กร  เข้ามาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสมได้นำเสนอรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ระหว่างการตลาดกับการประชาสัมพันธ์ไว้  5  รูปแบบ  คือ
-       หน้าที่ของการตลาดและการประชาสัมพันธ์แยกออกจากกันเด็ดขาด
-       การนำข้อดีของการตลาดและการประชาสัมพันธ์มาใช้ผสมผสานกันอย่างเหมาะสม
-       การนำหน้าที่ของการประชาสัมพันธ์ไว้เป็นงานส่วนหนึ่งของการตลาด
-       การนำหน้าที่ของการตลาดไว้เป็นงานส่วนหนึ่งของการประชาสัมพันธ์
-       การให้หน้าที่ของการประชาสัมพันธ์และการตลาดเท่ากัน

กระบวนการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด
                     การประชาสัมพันธ์ทางการตลาดประกอบไปด้วยขั้นตอนพื้นฐาน  4  ขั้นตอนดังนี้
1.     การวิจัย     การประเมินภาพลักษณ์หรือทัศนคติของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง    ที่มีต่อตราสินค้าและองค์กรว่ามีการรับรู้ภาพลักษณ์  และมีทัศนคติต่อตราสินค้าและองค์กรอย่างไร  ในขั้นตอนนี้  นักประชาสัมพันธ์ทางการตลาดมีความรู้ความเข้าใจในระเบียบวิธีการวิจัยทางการประชาสัมพันธ์  มีประเด็นสำคัญควรทราบได้แก่  วิธีการวิจัย   ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง  วิธีการสุ่มตัวอย่าง  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย  วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล  และสถิติเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
2.     การวางแผน     เป็นขั้นของการวางแผนการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดหลังจากศึกษาวิจัยเพื่อการวางแผนการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดจะประกอบด้วย   การวิเคราะห์สถานการณ์   การกำหนดวัตถุประสงค์   การระบุกลุ่มเป้าหมาย     การกำหนดกลยุทธ์และเครื่องมือการประชาสัมพันธ์   การกำหนดงบประมาณและระยะเวลา   การกำหนดวิธีการประเมินผล
3.     การดำเนินการตามแผน      การวางแผนการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดไว้แล้ว  ในขั้นนี้นักประชาสัมพันธ์ทางการตลาดก็จะดำเนินการตามแผนการที่ได้วางไว้  นักสื่อสารการตลาดอาจใช้เครื่องมือการสื่อสารการตลาดอื่น     ร่วมด้วย  เช่น  การโฆษณา  การตลาดเชิงกิจกรรม  หรือการส่งเสริมการขาย  ในลักษณะของการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานกันเพื่อผลกระทบทางการสื่อสารสูงสุดให้เกิดขึ้นต่อกลุ่มเป้าหมาย
4.     การประเมินผล     กระบวนการสุดท้ายของการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด  เมื่อได้ดำเนินงานตามแผนที่วางไว้แล้วก็จะทำการประเมินผลตามวัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์ที่ตั้งไว้  ยังสามารถนำมาใช้ในการประเมินผลได้หลายตัวบ่งชี้  ได้แก่  จำนวนของกลุ่มเป้าหมายที่เปิดรับข่าวสารการประชาสัมพันธ์ที่ได้เผยแพร่ไว้  สัดส่วนของข่าวสารเชิงบวก และ เชิงลบ  และบ่งชี้ที่ใช้วัดผลกระทบของการประชาสัมพันธ์ไว้หลายตัวเช่นกันได้แก่  จำนวนคนที่มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น  จำนวนคนที่เปลี่ยนความคิดเห็นไปจากเดิม  จำนวนคนที่เปลี่ยนทัศนคติ  เป็นต้น  ในการประเมินผลนักสื่อสารการตลาดอาจประเมินด้วยตนเอง  หรือ อาจให้บริษัทที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ภายนอกเป็นผู้ประเมินก็ได้

กลยุทธ์และเครื่องมือการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด
                 เราสามารถแบ่งกลยุทธ์และเครื่องมือการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดออกเป็น  2   กลยุทธ์  ดังนี้
1.     กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ทางการตลาดเชิงรุก    เป็นกลยุทธ์เชิงป้องกันและการสร้างให้เกิดผลในด้านบวกทางการตลาด  และช่วยส่งเสริมและสนับสนุนเครื่องการสื่อสารการตลาดประเภทอื่น    ให้ประสบความสำเร็จได้เพิ่มขึ้น  เนื่องจากคุณสมบัติของการประชาสัมพันธ์นี้มีความน่าเชื่อถือได้ง่ายกว่าเครื่องมือประเภทอื่น 
2.     กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ทางการตลาดเชิงรับ   เป็นการใช้ในทางการแก้ไขความเข้าใจผิดต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างองค์กรกับกลุ่มเป้าหมาย    เพื่อเป็นการปกป้องตราสินค้าและชื่อเสียงของบริษัทไม่ให้เสียหายเพิ่มมากขึ้น
                เป้าหมายกลุยุทธ์การประชาสัมพันธ์ทางการตลาดทั้ง  2  กลยุทธ์เพื่อปกป้องรักษาและเสริมสร้างคุณค่าตราสินค้าให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น   เช่นกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุก  ได้แก่  การเปิดตัวสินค้า  การส่งข่าวแจก  การจัดแถลงข่าว  การจัดกิจกรรมพิเศษ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่  และการแสดงความห่วงใยต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม  เป็นต้น  ในขณะที่กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ทางการตลาดเชิงรับ  ได้แก่  การจัดการข่าวลือ  การประเมินการจดจำได้ของตราสินค้า  การตรวจสอบการรับรู้คุณภาพของสินค้า  และการแก้ไขข่าวสารในเชิงลบ  เป็นต้น
                 การประชาสัมพันธ์ทางการตลาด   เป็นเครื่องมือการสื่อสารการตลาดที่นักสื่อสารการตลาดควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก   ปัจจุบันพบว่ามีหลายธุรกิจไม่เห็นความสำคัญ   อาจเนื่องจากการประชาสัมพันธ์ไม่สามารถเห็นผลในเชิงยอดขายได้อย่างชัดเจนในเวลาอันสั้นเหมือนกับการใช้การโฆษณา   การส่งเสริมการขาย  หรือเครื่องมือการสื่อสารการตลาดประเภทอื่น   นักสื่อสารการตลาดไม่ควรมองเฉพาะเป้าหมายระยะสั้นควรจะมองเป้าหมายทางธุรกิจในระยะยาวและให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่ดีของตราสินค้าและองค์กร   เพราะจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน




การส่งเสริมการขาย
วัตถุประสงค์
1.     เพื่อให้เข้าใจความหมายและวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการขาย
2.     เพื่อให้เข้าใจปัจจัยที่ทำให้การส่งเสริมการขายมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
3.     เพื่อให้รู้จักและเข้าใจรูแบบและเทคนิคของการส่งเสริมการขายต่าง    และสามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง
4.     เพื่อให้รู้กระบวนการวางแผนการส่งเสริมการขายและสามารถนำไปวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.     เพื่อให้ได้เข้าใจปัญหาของการส่งเสริมการขายและวิธีการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้

                          การส่งเสริมการขาย  เป็นเครื่องมือการสื่อสารรูปแบบหนึ่งที่สำคัญด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในการกระตุ้นให้   ผู้บริโภคเป้าหมายสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้ในระยะเวลาอันสั้น   ปัจจัยที่ทำให้การส่งเสริมกายขายมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว   รูปแบบของการส่งเสริมการขาย  กระบวนการวางแผนการส่งเสริมการขายตลอดจนปัญหาของการส่งเสริมารขาย  มีดังนี้
ความหมายและวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการขาย
                        การส่งเสริมการขายมีวัตถุประสงค์หลายประการดังนี้คือ
1.     เพื่อให้ผู้บริโภคเพิ่มปริมาณการบริโภคตราสินค้ามากยิ่งขึ้น
2.     เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองซื้อหรือซื้อซ้ำ
3.     เพื่อรักษาส่วนครองตลาดของลูกค้าในปัจจุบัน
4.     เพื่อเจาะตลาดลูกค้าใหม่ให้มีมากขึ้น
5.     เป็นการสนับสนุนการโฆษณาและความพยายามทางการตลาดต่าง    ให้เกิดผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย

       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น